รู้หรือไม่ว่า… จุดเล็ก ๆ อย่างกรองอากาศ หากเสื่อมสภาพทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีผลเสียทำให้รถของคุณวิ่งไม่ออกได้เลย กรองอากาศรถยนต์เป็นสิ่งที่คนใช้รถส่วนใหญ่ไม่ค่อยดูแล ทำความสะอาด และไม่ได้เปลี่ยนเมื่อถึงเวลา ยิ่งซื้อรถมือสองแล้วมีปัญหาอาจเป็นเพราะกรองอากาศที่เราอาจไม่ได้ตรวจเช็ค จึงอาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงานต่าง ๆ ตามมา เพื่อป้องกันไม่ให้คุณต้องพบเจอกับปัญหากวนใจ รู้ใจลิสต์ประเด็นที่ควรรู้มาให้แล้ว ไปทำความเข้าใจพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- กรองอากาศรถยนต์มีหน้าที่อะไร และมีกี่แบบ?
- มีแผ่นกรองอากาศรถยนต์แล้ว เครื่องฟอกอากาศในรถจำเป็นต้องมีมั้ย?
- กรองอากาศควรเปลี่ยนตอนไหน?
- ล้างกรองอากาศรถยนต์เองได้มั้ย ทำยังไงบ้าง?
- เลือกกรองอากาศให้ตอบโจทย์ ควรเลือกยังไงดี?
- จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ทำความสะอาดกรองอากาศ?
กรองอากาศรถยนต์มีหน้าที่อะไร และมีกี่แบบ?
แผ่นกรองอากาศรถยนต์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ไส้กรองอากาศ” มีหน้าที่ในการดักจับสิ่งสกปรก หรือฝุ่นละอองในอากาศไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ มาเข้าใจการทำงานของภายในเครื่องยนต์กันก่อน ระบบของภายในต้องมีขั้นตอน ดูด-อัด-ระเบิด-คาย ซึ่งมีอากาศเป็นส่วนประกอบในขั้นตอนนี้ และเจ้ากรองอากาศนี่แหละที่ทำให้อากาศไม่มีฝุ่นสิ่งสกปรกปะปนเข้าไปในระบบ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ แถมยังช่วยปกป้องสมรรถนะในการทำงานของเครื่องยนต์ให้มีอายุที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย โดยหลัก ๆ แล้วกรองอากาศมีทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้
1. แผ่นกรองอากาศแบบกระดาษ
หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในชื่อว่า “แผ่นกรองอากาศแบบแห้ง” เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวัน ข้อดีคือดักจับฝุ่นได้ดีที่สุด แถมยังมีราคาค่อนข้างต่ำ มีราคาอยู่ที่ 100-200 บาท
แต่มีข้อจำกัด คือ สึกหรอได้ง่ายเนื่องจากเป็นกระดาษ ต้องเปลี่ยนบ่อยเมื่อเทียบกับแผ่นกรองอากาศรถยนต์แบบอื่น ๆ โดยต้องเปลี่ยนทุก 6,000-10,000 กิโลเมตร หรือทุก 3-5 เดือนนั่นเอง นอกจากนี้ในเรื่องของ “อัตราการดูดอากาศ” ก็ต่ำกว่าแบบอื่น ๆ ด้วย
2. แผ่นกรองอากาศแบบผ้า
เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ถูกใช้งานค่อนข้างบ่อย แต่ไม่ได้ใช้ตลอด เช่น ใช้ขับไปทำงานเพียงอย่างเดียว เพราะช่วงที่จอดรถทิ้งไว้เฉย ๆ จะทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะที่กรองอากาศรถยนต์ ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์พังเร็ว
ข้อดีของแผ่นกรองชนิดนี้ คือ มีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน โดยมีอายุประมาณ 50,000 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าแบบกระดาษถึง 3 เท่า จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อย นอกจากนี้ยังดูแลรักษาง่าย อากาศผ่านได้ดี ทำให้ไส้กรองชนิดนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก
3. แผ่นกรองอากาศแบบสเตนเลส
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ “เพิ่มกำลัง” ให้รถ หรือที่เรียกกันว่าเพิ่มกำลังม้า เนื่องจากไส้กรองแบบนี้เป็นที่หนึ่งในด้าน “ดูดอากาศ” เพราะมีตัวกรองอากาศที่ละเอียดมาก อยู่ที่ 0.75 ไมครอน เมื่ออากาศเข้าไปได้มาก ก็ยิ่งทำให้รถยนต์มีกำลังมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อดีในเรื่องอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนาน โดยมีอายุอยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร แต่มีข้อจำกัดในเรื่องรูอากาศที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้อากาศไหลผ่านได้มากกว่าแบบอื่น ๆ แน่นอนว่าจะทำให้ฝุ่นละอองผ่านเข้าไปได้ง่ายมาก
มีแผ่นกรองอากาศรถยนต์แล้ว เครื่องฟอกอากาศในรถจำเป็นต้องมีมั้ย?
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนสงสัย คือ มีแผ่นกรองอากาศรถยนต์ที่ช่วยดักจับฝุ่นละอองอยู่แล้ว แบบนี้ “เครื่องฟอกอากาศในรถ” ยังจำเป็นต้องใช้มั้ย? คำตอบก็คือ “จำเป็น” เนื่องจากเครื่องฟอกจะคอยฆ่าเชื้อโรคที่เข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้อากาศดีขึ้น แถมยังทำให้กลิ่นเหม็นต่าง ๆ จางหายไป แม้จะมีกรองอากาศอยู่แล้ว แต่การมี “ตัวช่วยเสริม” ก็เป็นเรื่องที่ดี แถมเครื่องฟอกอากาศยังตอบโจทย์สำหรับคนที่แพ้อากาศมาก ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ PM 2.5 ยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการให้ความสำคัญในเรื่องแผ่นกรองอากาศรถยนต์ และการทําความสะอาดภายในรถยนต์แล้ว “ประกันรถยนต์” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมที่ให้ความอุ่นใจ สบายใจได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ คุณจะมี “เพื่อนคู่ใจ” ยืนเคียงข้างอยู่เสมอ ประกันรถที่รู้ใจ ลดสูงสุด 30% มีอู่และศูนย์ซ่อมทั่วไทย เจ้าหน้าที่ถึงที่เกิดเหตุไวใน 30 นาทีหรือเคลมผ่านแอปได้ทันที ไปไหนก็อุ่นใจทุกเส้นทาง
กรองอากาศควรเปลี่ยนตอนไหน?
หนึ่งในประเด็นที่หลายคนไม่ค่อยรู้ และตั้งคำถามกันมากที่สุดสำหรับการทําความสะอาดภายในรถยนต์ โดยเฉพาะ “กรองอากาศ” คือ ต้องเปลี่ยนตอนไหน? ต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ แล้วกรองอากาศรถยนต์มีอายุการใช้งานตามระยะทางที่รถวิ่ง ส่วนมากควรนำออกมาเป่าหรือทำความสะอาดทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร
และควรเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศทุก 20,000-40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้รถยนต์ของแต่ละคนเป็นหลักด้วย ในส่วนของ “ราคา” จะอยู่ที่ประมาณ 300-1,000 บาท แล้วแต่ยี่ห้อและศูนย์รถยนต์ที่ให้บริการ
ล้างกรองอากาศรถยนต์เองได้มั้ย ทำยังไงบ้าง?
สำหรับการดูแลรถยนต์ โดยเฉพาะการล้างแผ่นกรองอากาศ ทำความสะอาดสามารถทำเองได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเข้ารับบริการจากศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ ดังนี้
อุปกรณ์ทำความสะอาดรถ
สำหรับอุปกรณ์ทำความสะอาดรถ โดยเฉพาะในส่วนของแผ่นกรองอากาศมีอยู่ทั้งหมด 4 อย่างดังนี้
- ไขควง
- แปรงขนอ่อน หรือแปรงสีฟันเก่า ๆ
- น้ำยาเคลือบกรองอากาศรถยนต์
- น้ำยาล้างกรองอากาศรถยนต์ หรือน้ำยาล้างจาน
ขั้นตอนทำความสะอาดกรองอากาศด้วยตัวเอง
การดูแลทำความสะอาดรถ โดยเฉพาะในส่วนของกรองอากาศ ไม่ยากอย่างที่คิด โดยมีขั้นตอนที่ทำตามได้ง่าย ๆ ดังนี้
- ใช้ไขควงไขกรองอากาศออกมาจากหม้อกรอง
- จากนั้นนำแปรงที่เตรียมไว้ มาปัดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกที่เกาะกรองอากาศให้หมด
- ฉีดน้ำยาล้างกรองอากาศหรือน้ำยาล้างจานให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
- เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด ให้นำไปล้างน้ำสะอาดจนกว่าน้ำยาจะออกหมด แนะนำให้ล้างไล่จากด้านในไปด้านนอก
- เมื่อล้างจนสะอาดแล้ว ให้นำไปตากแดดให้แห้ง ชนิดที่ไม่มีละอองน้ำเกาะอยู่เลย
- จากนั้นให้นำน้ำยาเคลือบกรองอากาศ (ถ้ามี) มาพ่นให้ทั่ว และทิ้งไว้ให้แห้งอีกครั้ง
- นำไขควงไขกรองอากาศรถยนต์ประกอบเข้าที่เดิม
เลือกกรองอากาศให้ตอบโจทย์ ควรเลือกยังไงดี?
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องเลือกซื้อกรองอากาศแบบไหน (กรณีซื้อมาเปลี่ยนด้วยตัวเอง) วันนี้เราลิสต์ทริคในการเลือกซื้อมาให้เรียบร้อยแล้ว จะน่าสนใจแค่ไหนตามไปดูกันเลย
- เลือกจากวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน ดูแล้วสามารถใช้งานได้นาน ไม่แตก หัก หรือพังง่าย ๆ
- เลือกชนิดที่คิดว่าถอดทำความสะอาดได้ง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เนื่องจากการถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้บ่อย ๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น
- ไส้กรองประเภทผ้าใยสังเคราะห์หรือสเตนเลส ถือเป็นไส้กรองอากาศรถยนต์ที่แนะนำ เพราะอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน
- อากาศต้องไหลผ่านได้ง่าย มีการระบายที่ไม่อุดตัน ไม่ก่อให้เกิดเสียงหรือมลพิษ และควรมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ไม่เปลืองน้ำมันด้วย
ในท้ายที่สุดไม่ว่าคุณจะเลือกหรือชื่นชอบแผ่นกรองอากาศแบบไหน อย่างน้อยก็ขอให้เลือกซื้อแบบที่มีมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาในภายหลัง เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแผ่นกรองอากาศรถยนต์มีความสำคัญต่อ “เครื่องยนต์” พอสมควรเลยล่ะ
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ทำความสะอาดกรองอากาศ?
อย่างที่บอกไปแล้วว่า “กรองอากาศรถยนต์” มีหน้าที่ในการดักจับสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่องยนต์ หากไม่รู้วิธีดูแลรถยนต์อย่างถูกต้อง เหมาะสม หรือละเลยการดูแลรถยนต์ในส่วนนี้ไป อาจทำให้พบเจอปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนี้
- เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น หรือเร่งได้ยากกว่าปกติ
- อัตราการเผาไหม้ของน้ำมันมากขึ้น ทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าเดิม (เนื่องจากการเร่งที่ไม่สมบูรณ์)
- เครื่องยนต์มีอาการกระตุก สะดุด เนื่องจากอากาศไม่สามารถไหลผ่านเข้าระบบการเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์
- มีแรงม้าในการขับน้อยลง หรือเครื่องยนต์อาจสตาร์ตไม่ติด
ขอย้ำอีกครั้งว่า กรองอากาศรถยนต์เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญ ที่ควรดูแลรักษาให้ดี โดยเฉพาะการทำความสะอาดกรองอากาศอยู่เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาในอนาคต เช่น อาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย หรือเกิดปัญหาในการทำงานอย่างคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)
คำจำกัดความ
กรองอากาศรถยนต์ | ตัวที่จะช่วยกรองและดักจับฝุ่นละอองรวมไปถึงสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ห้องเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ได้ |
แรงม้า | ชื่อของหน่วยวัดกำลังหรืออัตราการทำงานในเชิงฟิสิกส์หลายหน่วย ตัวแปรเปลี่ยนหน่วยที่ใช้กันสามัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกำลังไฟฟ้า คือ 1 แรงม้า = 745.7 วัตต์ |
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง | คือ การวัดปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ต่อระยะทางที่เดินทาง ทำให้รู้ว่ารถยนต์ต้องใช้น้ำมันเท่าไหร่ |