หน้าฝนอย่างเป็นทางการของบ้านเราเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระยะเวลา 5 เดือนเต็ม ๆ ที่คุณจะต้องเผชิญกับสภาวะปัญหาน้ำรอระบาย ซึ่งหลีกเลี่ยง ขับรถลุยน้ำท่วม ในเส้นทางต่าง ๆ ไม่ได้เลยจริง ๆ โดยปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือโชคร้ายที่น้ำรั่วซึมเข้ารถ ทั้งเครื่องยนต์ ทั้งพรม ได้รับความเสียหายไปหมด
วันนี้ รู้ใจ จึงอยากพาไปดู วิธีดูแลรถ ของคุณเมื่อถูกน้ำท่วมเข้ามาถึงภายในตัวรถ ดูว่าจะต้องมีวิธีการดูแลรักษาส่วนของพรมตัวรถ ซึ่งถูกปูเต็มพื้นที่ภายในห้องโดยสารอย่างไร เพื่อไม่ให้ได้รับความเสียหาย และกลับมามีสภาพดีเหมือนเดิมนั่นเอง
ก่อนอื่น ต้องเลี่ยง ขับรถลุยน้ำท่วม เส้นทางที่รู้อยู่แล้วว่าท่วมแน่ ๆ
สำหรับถนนหนทางหลาย ๆ สายในกรุงเทพมหานครที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำท่วม ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ถ้าหากคุณไม่มีความจำเป็นต้องไป หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงด่วน เพราะนอกจากจะเสี่ยงที่ต้องไปเจอกับรถติดแบบคาดการณ์ไม่ได้แล้ว การติดค้างอยู่บนถนนที่น้ำกำลังเอ่อล้น ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้น้ำเข้ามาในรถคุณได้ในที่สุด โดยเส้นทางต่อไปนี้ คือ ถนนน้ําท่วม ในกรุงเทพที่พิสูจน์มาแล้วว่าน้ำท่วมจริง ท่วมจังมากที่สุด ได้แก่
- เขตหลักสี่ – ช่วงถนนแจ้งวัฒนะ จากคลองประปาถึงแถมคลองเปรมประชากร
- เขตจตุจักร – ถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ และ ถนนพหลโยธิน บริเวณหน้าตลาดอมรพันธุ์และแยกเกษตร
- เขตราชเทวี – ถนนพญาไท บริเวณหน้ากรมปศุสัตว์ และ ถนนศรีอยุธยา บริเวณหน้า สน.พญาไท
- เขตสาทร – ถนนจันทร์ ช่วงจากซอยบำเพ็ญกุศลถึงที่ทำการไปรษณีย์ยานนาวา, ถนนสวนพลู ช่วงจากถนนสาทรใต้ถึงถนนนางลิ้นจี่ และ ถนนสาธุประดิษฐ์ บริเวณแยกถนนจันทร์
- เขตบางซื่อ – ถนนประชาราษฎร์ สาย 2 บริเวณแยกเตาปูน
- เขตดุสิต – ถนนราชวิถี บริเวณหน้าราชภัฏสวนดุสิตและเชิงสะพานกรุงธน
- เขตมีนบุรี – ถนนสุวินทวงศ์ ช่วงจากคลองสามวาถึงคลองแสนแสบ
- เขตบางแค – ถนนเพชรเกษม ช่วงจากคลองทวีวัฒนาถึงคลองราชมนตรี และ ซอยหมู่บ้านเศรษฐกิจ จากถนนเพชรเกษมถึงวงเวียนกาญจนาภิเษก
- เขตบางขุนเทียน – ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ช่วงจากถนนพระรามที่ 2 ถึงคลองสะแกงาม
วิธีการ ขับรถลุยน้ำท่วม ให้ (รถ) ปลอดภัย
หากหลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นต้องใช้เส้นทางที่เป็นจุดเสี่ยงน้ำท่วมขังตามที่เราแนะนำด้านบนนี้ ก็ต้องมาถึงการขับรถให้ถูกวิธีเพื่อเป็น วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม ให้ตัวรถปลอดภัย และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับรถของคุณได้ โดยมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
• ขับรถด้วยความเร็วต่ำ รักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ โดยใช้เกียร์ต่ำหรือเกียร์ L
• ปิดแอร์และระบบปรับอากาศทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ใบพัดของพัดลมแอร์ พัดกระแสน้ำเข้าเครื่องยนต์
• ขับรถทิ้งระยะห่างจากคันหน้าเพื่อให้มีช่วงเบรกเพียงพอ เนื่องจากผ้าเบรกที่เปียกน้ำอาจทำให้ต้องเพิ่มระยะทางในการเตรียมเบรกรถให้มากขึ้นด้วย
• ไม่เบรกรถกะทันหัน เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่รถจะเหินเมื่อมีน้ำขังบนถนน
• กรณีที่มองไม่เห็นพื้นถนนเลย ให้มองเส้นทางที่รถคันหน้าวิ่งเพื่อสังเกตดูว่าสามารถไปได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งหลังจากที่คุณขับผ่านจุดที่มีน้ำท่วมมาแล้ว ให้ขับย้ำเบรกบ่อย ๆ เป็นระยะทางอีกสัก 3-5 กิโลเมตร เพื่อไล่ความชื้นออกจากระบบเบรก ที่ถูกแช่อยู่ในน้ำมาตลอดเส้นทางที่มีน้ำท่วมอยู่ และอย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์เมื่อถึงที่หมายที่ต้องการแล้ว สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้อีกประมาณ 15-20 นาที เพื่อไล่ความชื้นออกจากห้องเครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ภายในรถของคุณ
ขับรถลุยน้ำท่วม พรมในรถเปียก เพราะน้ำเข้ารถ จะทำอย่างไรได้บ้าง?
ในกรณีที่คุณ ขับรถลุยน้ำท่วม แล้วมีน้ำไหลซึมเข้ามาในรถ ก่อนอื่นเลยต้องรีบประคองรถให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย โดยแนวทางในการดูแลรถเมื่อถูกน้ำท่วมภายในห้องโดยสาร พรมต่าง ๆ แช่อยู่ในน้ำสกปรก สามารถทำได้ 2 รูปแบบก็คือ การดูแลรักษาด้วยตัวคุณเอง และ ส่งรถไปศูนย์เพื่อทำการทำความสะอาดให้
หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านที่มีพื้นที่จอดรถเป็นของตัวเอง มีพื้นที่เพียงพอและเป็นสัดส่วน สามารถดูแลทำความสะอาดรถและพรมได้ด้วยตัวเอง โดยมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
• เปิดประตูรถออกทุกบาน ลดกระจกลงให้สุด จอดรถตากแดดเอาไว้อย่างน้อย 2 วัน กรณีที่ยังมีกลิ่นเหม็นอับอยู่ให้นำเข้าไปอบโอโซนที่ศูนย์ดูแลรถ
• เอาพรมออกมาล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย ตากแดดทิ้งไว้จนแห้งสนิท ประมาณ 2 วัน อย่าเพิ่งรีบเอากลับไปใช้ถ้ายังไม่แห้งสนิทดี เพราะอาจทำให้มีกลิ่นอับได้
• กรณีที่เป็นช่วงที่ไม่มีแดด ให้ใช้พัดลมเป่าความร้อนช่วยไล่ความชื้น ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง ค่อย ๆ เป่าลมไปเรื่อย ๆ เพราะอาจทำให้พรมไหม้ได้ และที่สำคัญต้องมั่นใจว่าพรมนั้นแห้งจริง ๆ
สำหรับคนที่ไม่สะดวกดูแลด้วยตัวเอง อาจจะเพราะไม่มีพื้นที่หรือไม่มีเวลา ก็สามารถนำรถเข้าไปที่ศูนย์คาร์แคร์เพื่อให้ดูแลซักพรม อบโอโซนให้ได้ ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันบาท หรืออาจจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับระดับความเสียหายนั่นเอง
ขับรถลุยน้ำท่วมก็ไม่ต้องกังวล เพราะประกันรถยนต์ช่วยคุณได้
ในกรณีที่คุณไม่อยากมีค่าใช้จ่ายในการนำรถเข้าศูนย์คาร์แคร์เพื่อให้ดูแลให้ รู้หรือไม่ว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 และ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ช่วยคุ้มครองกรณีน้ำเข้ารถได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขด้วยว่า คุณไม่ได้พารถตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยง จนทำให้เกิดน้ำซึมเข้ามาอยู่ในรถของคุณ แต่ถ้าเป็นกรณีที่ขับอยู่แล้วรถติดมากแบบขยับไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งน้ำเอ่อเข้ามา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ที่เสียหาย หรือพรมรถของคุณจะโดนน้ำท่วมจนสกปรก ประกันรถคุ้มครองน้ำท่วม ให้แก่คุณได้
นอกจากนี้ประกันรถยนต์ชั้นที่ 1 หรือ 2+ ยังให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด ที่รถยนต์ป้ายแดงหรือรถใหม่ที่อายุการใช้งานยังไม่ถึง 5 ปี เลือกใช้
เนื่องจากจะได้รับความคุ้มครองดูแลครบทุกด้าน ให้ความอุ่นใจกับเจ้าของรถได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้หากคุณสนใจที่จะเลือกแผนประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณ รวมถึงเปรียบเทียบแผนประกันรถยนต์ต่าง ๆ ได้โดยสะดวก ก็สามารถเข้าใช้บริการที่ รู้ใจ ได้ เพราะเรามีบริการคำนวณเบี้ยประกันให้คุณสามารถรู้ผลได้ในทันที “ง่ายกว่า” เพียงเลือกแผนประกันรถยนต์ที่คุณต้องการทราบข้อมูล กรอกข้อมูลเกี่ยวกับรถและผู้ขับขี่ลงในแบบฟอร์มของเรา ระบบจะแสดงข้อมูลความคุ้มครองและเบี้ยประกันรถยนต์ขึ้นมาให้คุณรู้ในทันที ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมได้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที รวมถึงสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ ของเราได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน
ขับรถลุยน้ำ ไม่ใช่ปัญหา หากคุณรู้วิธีการดูแลรักษาหรือเตรียมความพร้อมก่อนที่จะลุยน้ำ โอกาสที่รถจะเสียหายก็จะลดลงได้ รวมไปถึงการเลือกทำประกันรถยนต์ ที่ให้ความคลอบคลุมความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขับรถลุยน้ำท่วมได้ ซึ่งช่วยให้คุณอุ่นใจว่าจะได้รับการดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย กรณีที่รถได้รับความเสียหายจากเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ