ไม่ว่ารถยนต์คู่ใจของคุณจะเป็นรถใหม่หรือ รถมือสอง ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องถกเถียงกัน เพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง “การดูแลรักษา” ให้สามารถใช้งานได้ดีและอยู่กับคุณไปอีกนาน ๆ สำหรับคนที่ซื้อรถป้ายขาวมาใช้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องดูแลอย่างไร รู้ใจรวบรวมคำตอบมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว แต่จะมีวิธีการดูแลอย่างไรและต้องดูแลส่วนไหนบ้าง มาดูกันตามไทม์ไลน์ได้เลย
ดูแล รถมือสอง อย่างไร ? ให้ใช้ได้อีกยาว ๆ
ซื้อรถมือสองมาแต่ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมดูแลดีแค่ไหน ? อยากให้รถอยู่กับเราไปนาน ๆ ต้องตรวจสอบส่วนต่าง ๆ ต่อไปนี้ให้ดีก่อนเสมือนทำความรู้จักตัวรถให้มากขึ้น และเข้าใจได้เวลาที่รถมีปัญหาในการใช้งาน
1. ของเหลวต้องเปลี่ยนใหม่เหมือน “นับหนึ่ง” ที่คุณ
ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย ฯลฯ ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะนั้น ความเป็นจริงคือคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมเปลี่ยนล่าสุดตอนไหน เอาที่สบายใจคุณควรเปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่ “ทั้งหมด” เหมือนเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ตามระยะการใช้งานรถของตัวคุณเอง นอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่ารถของคุณจะไม่เสียหายจากการใช้ของเหลวที่เสื่อมสภาพ ยังช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้คุณได้ใช้รถอย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
2. เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ได้ยิ่งดี
แม้ว่ากรองอากาศจะสามารถใช้ลมเป่าเพื่อทำความสะอาดได้ แต่จะดีกว่ามั้ยหากรถของคุณได้ใช้กรองอากาศใหม่สะอาด ๆ ให้รถของคุณสามารถสูดอากาศสะอาดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้แบบปราศจากฝุ่นผงเพื่อระบบจุดระเบิด ซึ่งการเปลี่ยนกรองอากาศนั้น อากาศสะอาดจะช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ส่งผลเรื่องการขับขี่ดีไม่แพ้กับรถใหม่เลยล่ะ
3. แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ชัวร์ ก็เปลี่ยนเถอะ
แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี และคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมจากรถมือสองที่ซื้อมานั้นเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ล่าสุดตอนไหน หากไม่อยากเจอสถานการณ์ “รถสตาร์ทไม่ติด” ในขณะใช้งาน หรือมีอาการบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ส่วนนี้ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ดีกว่าเพื่อความสบายใจในทุกมิติการใช้งาน
4. ระบบเบรครถยนต์ต้องให้ความสำคัญ
แม้ว่าระบบเบรครถยนต์รถมือสองของคุณยังเบรคดี มีความปลอดภัยอยู่ แต่คุณอย่าได้ละเลยที่จะตรวจสอบในจุดนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นสภาพผ้าเบรครถยนต์ ลูกยางต่าง ๆ ว่ามีสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ น้ำมันเบรครถยนต์ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายใหม่แล้วหรือยัง หรือสำคัญไปกว่านั้นมีจุดรั่วซึมตรงไหนในการทำงานหรือไม่ จะต้องตรวจสอบ “ทั้งระบบ” เพื่อให้การขับขี่ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น
5. ตรวจเช็คการทำงานโดยรวมของเครื่องยนต์และช่วงล่าง
อย่าลืมที่จะให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบการทำงานโดยรวมของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง รวมไปถึงช่วงล่าง เพราะบางจุดอาจจะยังไม่แสดงอาการชัดเจนจนผู้ใช้รถสังเกตเห็นได้ แต่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มองเห็น เช่น มีอะไรรั่วซึมหรือชิ้นส่วนไหนเสื่อมสภาพ เพื่อจะได้เปลี่ยนให้จบตั้งแต่แรก ๆ ก่อนเริ่มใช้งานรถ และคุณจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในการใช้งานในภายหลังด้วย
6. ตรวจสภาพยางรถยนต์
ยางรถยนต์ที่ติดมากับรถมือสองอยู่ไหนสภาพไหน พร้อมใช้งานหรือไม่ ? คงจะไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจซื้อมาแล้วล่ะก็ จำเป็นจะต้องใส่ใจเพื่อการใช้งานที่มั่นใจในระยะยาว และจะดีกว่าถ้าคุณตัดสินใจเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทั้ง 4 เส้น เพื่อให้การขับขี่มีความปลอดภัยและนุ่มนวลกว่า
เปิดไทม์ไลน์ช่วงการดูแลรักษารถยนต์ตาม “เลขไมล์” ควรตรวจสภาพรถตอนไหนบ้าง ?
การตรวจสภาพรถยนต์ก็คือ “การบำรุงรักษารถยนต์” อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ การตรวจสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ และการเปลี่ยนตามระยะทางหรือไมล์ ซึ่งในวันนี้เราจะมาไล่ไทม์ไลน์การดูแลรถตาม “เลขไมล์” ให้เจ้าของรถมือสองได้ทำความเข้าใจ ดังนี้
1. เลขไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร
- ความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่รถยนต์
- สภาพท่อน้ำหล่อเย็น
- การสึกของยางรถยนต์
- ระดับน้ำมันเบรค
- ฝาหม้อน้ำ
- สะพานขับปั๊ม
- สายพานแอร์
2. เลขไมล์ที่ 5,000 กิโลเมตร
- สายพานและระดับความดึง
- ความสะอาดกรองอากาศ
- น้ำมันคลัตช์
- ระดับน้ำมันในปั๊ม
- ใบปัดน้ำฝน
- การทำงานของหัวฉีด
- ความสะอาดของคอยล์ร้อน
- รอยรั่วที่ข้อต่อ
- ปริมาณน้ำยาทำความเย็น
3. เลขไมล์ที่ 5,000-10,000 กิโลเมตร
ควรมีการเช็คของเหลว โดยเฉพาะน้ำมันหล่อลื่น เพื่อทำการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น และทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนจะต้องมีการเปลี่ยนกรองน้ำมันหล่อลื่นด้วย
4. เลขไมล์ที่ 10,000 กิโลเมตร
- ระยะหน้าทองขาวและเขี้ยวหัวเทียน
- พื้นยางล้อหน้ากับล้อหลัง (อาจสับเปลี่ยนตำแหน่งของยาง เพื่อทำให้ยางแต่ละเส้นสึกเสมอกัน)
- ความลึกของดอกยาง
- ระยะฟรีของแป้นคลัตช์
- ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
- สภาพเบรครถยนต์
- การหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ
5. เลขไมล์ที่ 20,000 กิโลเมตร
- ระยะช่องว่างของวาล์ว
- สายหัวเทียน
- ฝากครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์
- วาล์ว พีซีวี
- ล้างหม้อน้ำ
- ชุดทองขาวและคอนเดนเซอร์
- น้ำหล่อเย็น
- หัวเทียน
- ตัวกรองอากาศ
6. เลขไมล์ที่ 40,000 กิโลเมตร
- สายพาน
- น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
- สายพานขับปั๊ม
- สายพานแอร์
- ใบปัดน้ำฝน
7. เลขไมล์ที่ 60,000 กิโลเมตร
- เปลี่ยนสายหัวเทียน
- เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
- ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์
8. เลขไมล์ที่ 100,000 กิโลเมตร
สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จำเป็นจะต้องเช็คสายพานไทม์มิ่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น นิสัยการขับขี่ สภาพความแข็ง รอยแตกหรือฉีกขาดชำรุดหรือไม่ หากพบให้รีบเปลี่ยนทันที
ไม่อยากจ่ายแพง ประกันอะไหล่รถยนต์ช่วยคุณได้ !
สำหรับคนที่ตัดสินใจซื้อรถมือสอง ล้วนต้องการประหยัดงบประมาณกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ที่บานปลาย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์ใจสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นการเลือกซื้อ “ประกันอะไหล่รถยนต์” จึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเลือกซื้อประกันอะไหล่จากรู้ใจ ประกันออนไลน์
ประกันอะไหล่รถยนต์ของรู้ใจ รับประกันภัยโดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และให้บริการโดย บริษัท เอ ดับเบิลยู พี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครอง “อะไหล่รถยนต์แท้” จากบริษัทผู้ผลิตทั้งรถใหม่และรถมือสอง
ราคาเบี้ยประกันอะไหล่รถยนต์
ประกันอะไหล่รถยนต์จากรู้ใจ ประกันออนไลน์ มีทั้งหมด 3 แผน ในความคุ้มครองและราคาที่แตกต่างกัน โดยจะอยู่ระหว่าง 5,500-8,500 บาท ขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองของกลุ่มอะไหล่รถยนต์ที่เลือก ดังนี้
- แผนสุดคุ้ม (3 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 5,500 บาทต่อปี
- เพลาขับหน้าและท้าย
- กลไกเครื่องยนต์
- ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
- แผนแนะนำ (5 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 6,600 บาทต่อปี
- เพลาขับหน้าและท้าย
- กลไกเครื่องยนต์
- ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
- ระบบไฟฟ้า
- ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์
- แผนจัดเต็ม (12 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 8,500 บาทต่อปี
- เพลาขับหน้าและท้าย
- กลไกเครื่องยนต์
- ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
- ระบบไฟฟ้า
- ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์
- ระบบปรับอากาศและทำความร้อน
- ระบบเบรค
- ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงและควบคุมมลภาวะ
- ชิ้นส่วนไฮเทค
- ระบบบังคับเลี้ยว
- ระบบเชื้อเพลิง
- ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง
*หมายเหตุ : เบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับข้อมูลรถยนต์และแผนประกันรถยนต์
ซื้อประกันอะไหล่รถยนต์ อะไรบ้างที่ต้องรู้
ประกันอะไหล่รถยนต์ “ไม่มีระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง” ซึ่งคุณต้องทำการตรวจสอบสภาพรถก่อน กรมธรรม์จึงจะเริ่มให้ความคุ้มครอง (หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว) ทั้งนี้ประกันอะไหล่รถยนต์จากรู้ใจ ไม่ได้ให้ความคุ้มครองรถยนต์ที่มีเลขไมล์เกิน 200,000 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่ซื้อและได้รับความคุ้มครอง สามารถ “แจ้งเคลม” และส่งเอกสารหลักฐานภายใน 30 วัน หลังจากวันที่เกิดความเสียหาย หรือแจ้งเคลมผ่านแอปได้ ง่าย สะดวกกว่า
เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ในการเคลมประกัน
- แบบฟอร์มการเรียกร้องความเสียหาย
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย
- สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์
- สำเนาบัตรรับประกันของผู้ผลิตรถยนต์ (ถ้ามี)
- เอกสารอื่นตามที่บริษัทต้องการตามความจำเป็น
สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสอง แต่ไม่ต้องการแบกรับค่าใช้จ่ายในเรื่องของการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ ที่ค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนนั้น “สูงมาก” การเลือกซื้อประกันอะไหล่รถยนต์กับรู้ใจ จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบสุดท้ายที่น่าสนใจ เพราะนอกจากคุณจะไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนโตแล้ว คุณยังเลือกแผนความคุ้มครองได้อย่างอิสระ ช่วยให้การขับขี่ของคุณมีแต่ความมั่นใจ อุ่นใจ ตลอดการเดินทาง
ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์หรือประกันอะไหล่รถยนต์ เลือกให้รู้ใจช่วยดูแล การันตีอะไหล่แท้แม้เป็นรถมือสอง สามารถซื้อกรมธรรม์ทั้ง 2 แบบเพื่อช่วยคุ้มครองรถคู่ใจของได้ทันที นอกเหนือไปกว่าการดูแลรถ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชม. ดูแลทุกที่ทุกเวลาทั่วไทย
ติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และสุขภาพ รวมถึงโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจ ประกันออนไลน์ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือ Official Line ID: @roojai ได้เลย