ยางรถยนต์ส่วนประกอบที่สำคัญอีกจุดของตัวรถ ชิ้นส่วนล่างสุดที่ใช้เพื่อการวิ่ง ทั้งช่วย “เพิ่มสมรรถนะ” ในการขับขี่ รวมไปถึงยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้หากใช้ยางที่มีคุณภาพ ไม่ว่ายางรถเก๋งหรือยางรถกระบะ แล้วจะต้องทำยังไงให้ยางสะอาด และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานได้อย่างไร รู้ใจรวบรวมวิธีทำความสะอาด และรายละเอียดอื่น ๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว ตามไปดูกันเลย
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- ยางรถยนต์คืออะไร มีโครงสร้างเป็นยังไง?
- อายุยางรถยนต์ ดูตรงไหน?
- จะเกิดอะไรขึ้น หากใช้งานยางรถยนต์เสื่อมสภาพ?
- 4 ขั้นตอนทำความสะอาดยางรถยนต์ มีอะไรบ้าง?
ยางรถยนต์คืออะไร มีโครงสร้างเป็นยังไง?
จริง ๆ แล้ว “ยางรถยนต์” คือ อุปกรณ์หลักส่วนควบรถยนต์ ที่มีหน้าในการรองรับน้ำหนัก และใช้ในการขับเคลื่อนอย่างนิ่มนวลและปลอดภัย หลัก ๆ มีส่วนประกอบมากถึง 6 ส่วน ดังนี้
- หน้ายาง คือ ส่วนที่อยู่นอกสุดของยาง และเป็นส่วนประกอบเพียงอย่างเดียวที่สัมผัสผิวถนน มีหน้าที่ในการป้องกันของมีคมที่เป็นอันตรายต่อโครงยาง นอกจากนี้ยังมี “ดอกและร่องยาง” ที่คอยทำหน้าที่ในการยึดเกาะถนนอีกด้วย
- ไหล่ยาง เป็นส่วนที่เชื่อมกันระหว่างหน้ายางและแก้มยาง มักถูกออกแบบให้เป็น “ร่อง” เพื่อระบายความร้อนภายในยาง
- แก้มยาง เป็นส่วนด้านข้างสุดขอบยาง ที่ไม่ได้สัมผัสกับผิวถนนขณะที่รถวิ่งอยู่ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบที่ยืดหยุ่นมากที่สุดอีกด้วย
- โครงยาง เป็นส่วนประกอบหลักของยางที่มีหน้าที่ในการ “คงรูปร่าง” และรักษาความดันลมภายในยางรถยนต์ เพื่อให้รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ดี รวมถึงทนทานต่อแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือนได้ดี
- ผ้าใบเสริมหน้ายาง หรือเข็มขัดรัดหน้ายาง เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างหน้ายางกับโครงยาง หากเป็นยางธรรมดาจะเรียกว่าผ้าใบเสริมหน้ายาง แต่ถ้าหากเป็นยางเรเดียลจะเรียกว่าเข็มขัดรัดหน้ายาง ซึ่งมีหน้าที่ในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับหน้ายาง เพื่อให้ยางสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้โครงยางชำรุด เสียหาย จากสิ่งอันตรายบนท้องถนน
- ขอบยาง ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นลวดเหล็กกล้า ที่ช่วยยึดส่วนปลายทั้ง 2 ข้างของโครงยางเอาไว้ เพื่อให้บริเวณขอบยางแข็งแรง ยึดกับกระทะล้อได้แน่นสนิท
อายุยางรถยนต์ ดูตรงไหน?
ยางรถยนต์ถูกสร้างมาจากวัสดุอินทรีย์ที่มาจากธรรมชาติ แน่นอนว่ายางเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับวัสดุอินทรีย์อื่น ๆ ซึ่งตามปกติแล้วจะมีอายุในการเก็บรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ปี และมีอายุการใช้งานประมาณ 40,000-50,000 กิโลเมตร
สำหรับยางรถยนต์ที่ผลิตหลังปี 2000 สามารถดูอายุยางรถยนต์ได้จาก “วันที่ผลิตยาง” ตรงแก้มยางด้านนอก โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะบอกสัปดาห์และปีที่ผลิตด้วยรหัสทั้งหมด 4 ตัว (WWYY) โดยเลขสองตัวแรกจะบอกว่าเป็นสัปดาห์ที่เท่าไหร่ และเลขสองตัวหลังคือสองหลักสุดท้ายของ ปี ค.ศ. ที่ผลิตยาง
ตัวอย่างเช่น
รหัสยางคือ 07/20 หมายความว่ายางเส้นนี้ถูกผลิตขึ้นในสัปดาห์ที่ 7 ของปี 2020 ซึ่งพอจะประมาณได้ว่ายางเส้นนี้ ถูกผลิตประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกุมภาพันธ์ 2020 นั่นเอง
การให้ความสำคัญกับอายุยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น และควรเปลี่ยนยางหากยางรถยนต์หมดสภาพ ไม่ควรรั้นขับต่อ เพราะค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนยาง คงไม่เท่าค่ารักษาหรือค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุแน่นอน และนอกจากเปลี่ยนยางแล้ว อย่าลืมซื้อประกันรถยนต์ติดไว้ ที่รู้ใจให้ผ่อนได้ 10 เดือน และยังลดสูงสุด 30% ยิ่งประกันชั้น 1 ยิ่งคุ้มครองครบ แบบนี้ไปไหนก็อุ่นใจได้เลย
จะเกิดอะไรหากใช้งานยางรถยนต์เสื่อมสภาพ?
หากรู้อยู่แล้วว่ายางรถยนต์จะหมดอายุช่วงไหน หรือสภาพยางเริ่มเสื่อมไปบ้างแล้ว แต่คุณก็ยังรั้นใช้ต่อ อาจทำให้พบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่าง “อุบัติเหตุ” ได้ง่าย ๆ แต่ถ้ายังมองภาพไม่ออกว่าจะเจอกับเหตุการณ์นั้นได้ยังไง ตามไปทำความเข้าใจกันก่อนเลยดีกว่า
1. ยางแข็งกระด้าง
อาการยางแข็ง คือ หน้ายางรถยนต์สูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากอายุการใช้งาน หรือการขาดการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เช่น จอดรถตากแดดเป็นเวลานาน แบบนี้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ง่ายมาก
2. ดอกยางสึกไม่เท่ากัน
โดยปกติดอกยางจะสึกไม่เท่ากันอยู่แล้ว โดยเฉพาะยางล้อคู่ที่เป็น “ล้อขับเคลื่อน” ซึ่งจะสึกหรอเร็วกว่ายางล้อคู่ที่ทำหน้าที่หมุนตาม ถือว่าเป็นการสึกหรอที่เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากยางรถยนต์เสื่อมสภาพ จะมีลักษณะสึกหรอไม่เท่ากันมากจนผิดสังเกต เป็นบั้ง ๆ หรือสึกเป็นก้อนไม่สม่ำเสมอ แนะนำให้สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร
3. เสียงยางหอน
อย่างที่บอกไปแล้วว่าปกติยางจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3-5 ปี หากใช้งานนานเกินไป เนื้อยางอาจเสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งาน ส่งผลให้ “ยางหอน” เมื่อใช้ความเร็วสูง ซึ่งจะคล้ายกับเสียงเครื่องบินวิ่งอยู่ข้าง ๆ และบางครั้งอาจดังเข้ามาในห้องโดยสารด้วย
4. การยึดเกาะถนนแย่ลง
ยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ เนื้อยางจะค่อย ๆ แข็งขึ้นตามธรรมชาติของยาง รวมถึงความสึกของดอกยางที่ลดลง ทำให้แรงเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนนลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะบนพื้นผิวถนนที่เปียก ลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก ๆ
สลับยางรถยนต์คืออะไร ควรสลับตอนไหน?
การสลับยางรถยนต์ คือ การเปลี่ยนให้ยางไปอยู่ตำแหน่งอื่น ๆ แทนที่จะอยู่ตำแหน่งเดิม โดยการสลับแต่ละครั้งจะทำให้การเสื่อมของดอกยางสม่ำเสมอกัน และถ้าหากจะถามว่าควรสลับยางรถเก๋งหรือยางรถกระบะตอนไหน? “การขับขี่ของคุณ” คือคำตอบที่ดีที่สุด แต่โดยทั่ว ๆ ไปแนะนำให้สลับทุก ๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับว่าอะไรมาถึงก่อน นอกจากนี้การสลับยางรถยนต์จริง ๆ สามารถสลับเองได้ แต่ต้องมีอุปกรณ์/เครื่องมือที่ดีพอ แต่จะดีกว่ามาก ๆ หากคุณเลือกสลับหรือเปลี่ยนยางรถยนต์กับร้านยางรถยนต์ ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพราะจะได้ถือโอกาส “เช็คศูนย์ของล้อ” ด้วย
4 ขั้นตอนทำความสะอาดยางรถยนต์ มีอะไรบ้าง?
การทำความสะอาดตัวยางรถยนต์ ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความสวยงาม” แต่ยังเป็นวิธีดูแลรถยนต์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ได้อีกด้วย หลัก ๆ มีอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมให้พร้อม ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดล้อและยางรถยนต์
- ผลิตภัณฑ์ปกป้องดูแลรักษายางรถเก๋งหรือยางรถกระบะ
- ถังน้ำสำหรับทำความสะอาด
- ผ้าเช็ดล้อ
- ฟองน้ำสำหรับเคลือบยางรถยนต์
หลังจากเตรียมอุปกรณ์สำหรับล้างยางรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราไปล้างทำความสะอาดตาม 4 ขั้นตอนที่เรานำมาบอกต่อพร้อม ๆ กันเลย
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการดูแลรถยนต์ที่ดีที่สุด คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีคุณภาพ แถมยังสามารถดูแลยางรถยนต์ และชิ้นส่วนอื่น ๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเข้าคาร์แคร์
กรณีที่ไม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ปลอดภัย หรือเหมาะสมกับยางรถยนต์หรือไม่ แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “ปลอดภัยกับล้อและยางทุกประเภท และไม่ทิ้งสารตกค้างบนล้อรถ” ที่สำคัญคือต้องมีเลขอย. สามารถตรวจสอบได้
2. การทำความสะอาดล้อและยาง
นอกจากล้อและยางรถยนต์จะสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว ยังถือเป็นชิ้นส่วนที่สกปรกมากที่สุดอีกด้วย ทั้งคราบสกปรกจากฝุ่นเมื่อเบรค หรือสิ่งสกปรกตามท้องถนนอื่น ๆ แนะนำให้เริ่มต้นจากการ “เคลือบยางรถยนต์” ด้วยน้ำยาทำความสะอาด จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ตัว ประมาณ 5-10 นาที เพื่อทำลายคราบสกปรกต่าง ๆ เมื่อครบเวลาที่กำหนดให้ฉีดล้างด้วยน้ำสะอาด แต่ถ้าคราบฝังแน่นมาก ๆ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบเฉพาะ ก็จะช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น โดยไม่เปลืองแรงมากจนเกินไป
3. เช็ดล้อและยาง
หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นควรเช็ดล้อและยางให้แห้งสนิท ซึ่งควรเป็นผ้าคนละผืนที่ใช้เช็ดรถ เพราะถ้าหากใช้รวมกันผิวรถยนต์ของคุณ อาจเกิดรอยขนแมวไปจนถึงรอยข่วนลึกถึงชั้นสีได้
4. เคลือบตัวยางให้เงางาม
ขั้นตอนนี้เป็นไปเพื่อในเรื่องความสวยงามแล้ว หากต้องการให้ยางรถยนต์ของคุณเงางาม และดูใหม่อยู่เสมอ การ “เคลือบยางรถยนต์” เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี โดยน้ำยาเคลือบเป็นสารละลายด้วยน้ำ มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องยางให้แข็งแรง ทนทาน
วิธีง่าย ๆ คือ แค่หยดน้ำยาเคลือบยางดำลงบนฟองน้ำแล้วทาลงบนยาง เพียงไม่กี่นาทีตัวยางรถของคุณจะแห้งและเงาดูเหมือนกับยางใหม่ แต่ถ้าหากต้องการทาซ้ำอีกรอบ ควรรอให้ชั้นแรกแห้งสนิทดีก่อนแล้วจึงค่อยทาทับ ก็จะเงายิ่งกว่าเดิม
การให้ความใส่ใจยางรถยนต์ โดยเริ่มตั้งแต่การทำความสะอาดอย่างถูกต้อง นอกจากจะถือเป็นการยืดอายุการใช้งานยางรถเก๋งและยางรถกระบะแล้ว ยังช่วยเสริมในเรื่อง “ความปลอดภัย” บนท้องถนนได้ดีอีกด้วย หากพบว่าเสื่อมสภาพหรือมีปัญหา แนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์โดยเร็วที่สุด แถมยางรถยนต์ราคาไม่แพงเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ “ค่าเสียหาย” ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)
คำจำกัดความ
วัสดุอินทรีย์ | ชิ้นส่วนซากพืชและสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่าง ๆ |
แรงเสียดทาน | เป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น |
รอยขนแมว | ลักษณะรอยเส้น ๆ สีขาวที่เกิดบนผิวรถยนต์ ซึ่งมักจะเป็นรอย ช่วนเบา ๆ ไม่ลึกถึงชั้นสี |