เปลี่ยนรถใหม่ โจทย์ใหญ่สำหรับคนเป็นเจ้าของรถที่ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หากถึงเวลาสำหรับการ “ปลดระวาง” รถคันเก่งของคุณและต้องเริ่มต้นมองหารถคันใหม่ไว้ใช้งานแทนแล้ว คำถามคือ ทำไมถึงต้องซื้อรถใหม่? ในเมื่อรถของคุณถึงจะมีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนานยังคงวิ่งใช้งานได้อยู่ คำตอบคงไม่พ้นเรื่องของความปลอดภัยทั้งกับตนเอง คนที่เรารัก รวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ และยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่จะตามมาในอนาคต การเก็บรถเก่าไว้ใช้อาจไม่คุ้ม เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างเสื่อมสภาพลง เราก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้วมองหารถคันใหม่เพื่อนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงรถคันใหม่ อาจหมายถึงงบประมาณก้อนโตที่ต้องใช้จ่าย นักขับทั้งหลายจึงเลือกละเลยกฎนี้ โดยทั่วไปในต่างประเทศจะมีการกึ่ง ๆ บังคับให้เปลี่ยนรถคันใหม่หลังจากที่ใช้งานรถไปแล้ว 5 – 7 ปี ด้วยการเพิ่มราคาภาษีสำหรับรถปีเก่า นับเป็นข้อบังคับที่สำคัญมาก จึงทำให้ประเทศในทวีปยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น จะให้เจ้าของรถเปลี่ยนรถคันใหม่ในเมื่อถึงเวลาที่ตัวรถหมดสภาพการใช้งานแล้ว
แต่สำหรับประเทศไทย ข้อบังคับเหล่านี้ยังไม่ใช่ข้อบังคับหลักสำคัญ ทั้งมาจากเรื่องของราคารถที่สูงมาก การที่ต้องเปลี่ยนรถทุก 5 – 7 ปี เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริง แต่การที่จะทนขับรถเก่าและเริ่มส่งสัญญาณของการมีปัญหาของระบบต่าง ๆ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ควรเสี่ยงขับต่อไปแม้แต่น้อย ดังนั้นหากมีสัญญาณอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นการบอกว่ารถคันโปรดของคุณไปต่อไม่ไหวแล้ว นั่นคือ เวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
รู้ใจขอแนะนำเจ้าของรถทุกคน ในการตรวจสอบความพร้อมของรถยนต์ของตัวเองว่าเข้าเกณฑ์ไหนบ้างแล้ว ยังสามารถใช้รถคันโปรดของคุณต่อไปได้อยู่มั้ย หรือถึงเวลาต้องกล่าวคำอำลาและมองหารถใหม่ได้แล้ว มีสัญญาณแรง ๆ อยู่ทั้งหมด 7 ข้อที่บอกคุณให้รู้ว่ารถของคุณไปต่อไม่ไหวแล้ว ดังต่อไปนี้
1. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อรถมีควันขาว
สัญญาณเตือนอย่างแรกที่บอกให้คุณรู้ได้ทันทีว่ารถของคุณกำลังมีปัญหา อาจถึงเวลาสำหรับการมองหาและเปลี่ยนแปลงรถคันใหม่แล้ว นั่นคือการเกิดควันขาวที่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทรถแล้วมีควันขาวขึ้นมา หรือการขับรถไปแล้วมีควันขาวเกิดขึ้นตลอด รวมไปถึงการเกิดควันดำ
ทั้งหมดนี้คือการบอกให้คุณรู้เป็นนัย ๆ แล้วว่าระบบการเผาไหม้ในห้องเครื่องมีปัญหาแล้ว ซึ่งเป็นอาการพื้นฐานที่ต้องรีบแก้ไข แต่ถ้าหากเป็นรถรุ่นเก่า บ่อยครั้งจะมีความเสียหายอื่น สอดแทรกตามมาด้วย และความเสียหายที่เกิดขึ้นในระบบเครื่องยนต์นั้นมีมูลค่าสูงมาก อาจพอ ๆ กับการซื้อรถมือสองสักคันเลยก็ได้หากต้องยกเครื่องเปลี่ยนแปลงกันใหม่ทั้งระบบ เตรียมงบสำหรับซื้อรถใหม่เลยดีกว่า
2. ถึงเวลาเปลี่ยนถ้าเคยเกิดอุบัติเหตุรถชนหนัก
อุบัติเหตุ คือสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น มักเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงและส่งผลไปยังส่วนประกอบสำคัญของรถ ไม่ว่าจะเป็นชุดเครื่องยนต์ ชุดลูกสูบ ระบบช่วงล่าง หรือระบบเกียร์ ความเสียหายเหล่านี้แม้ว่าจะซ่อมแซมได้ก็จริง แต่ความคุ้มค่าในการซ่อมบำรุงมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น หากรถเกิดอุบัติเหตุหนัก ๆ มา แม้ว่าจะมีประกันพร้อมซ่อมให้ได้ทั้งคัน แต่จุดสมดุล รวมถึงความปลอดภัยทั้งหมดหายไปพร้อมกับอุบัติเหตุในครั้งนั้นแล้ว การตัดสินใจออกรถคันใหม่มาใช้งาน ดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและปลอดภัยกว่าสำหรับคุณนั่นเอง
3. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อสนิมเริ่มกินตัวถัง
ปัญหาเล็ก ๆ ที่มองข้ามไม่ได้กับการเกิดสนิมที่ค่อย ๆ กัดกินตัวถังรถจนเกิดการผุพัง กลายเป็นปัญหาสำคัญต่อระบบโครงสร้างและตัวถังของรถทั้งหมด แม้ว่าในเวลานี้มีช่างสามารถทำการโป๊วรถปิดรอยสนิมเหล่านี้ได้ แต่ปัญหาการกัดกินของสนิมยังคงไม่หายไปไหน ยังคงทำหลายโครงสร้างของรถไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัญหาที่ตามมาไม่ใช่แค่ความสวยงามแน่ ๆ แต่เป็นเรื่องของความแข็งแรงของโครงสร้างสำหรับความปลอดภัยยามที่เกิดเหตุไม่คาดฝันต่างหาก เดิมหากตัวถังรถยังคงมีสภาพสมบูรณ์ โครงสร้างรถจะเป็นเกราะป้องกันสำหรับผู้ขับขี่ แต่ถ้าตัวถังรถเป็นสนิม สิ่งนี้จะกลายเป็นอาวุธร้ายที่อาจสร้างความบาดเจ็บกับผู้ขับขี่ได้
4. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อเริ่มขาดแคลนอะไหล่
อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกให้คุณรู้ว่าได้เวลาเปลี่ยนรถใหม่ได้แล้ว นั่นคือ เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการซ่อมบำรุง เปลี่ยนแปลงอะไหล่รถของคุณแล้วไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยน หรืออาจต้องรออะไหล่จากรถคันอื่นมาแทน เพราะการขาดอะไหล่ จะทำให้คุณไม่สามารถใช้งานรถต่อไปได้เลย ซึ่งอะไหล่บางชิ้นสำหรับรถบางรุ่นที่ไม่มีในท้องตลาดแล้วหมายถึงเวลาแห่งการจากลาในทันที
5. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อเครื่องยนต์กินน้ำมันผิดปกติ
หากรถที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำจากที่เคยใช้น้ำมันในเกณฑ์ปกติกลับเริ่มมีอาการใช้น้ำมันมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น หากรถคุณใช้น้ำมันอยู่ในอัตรา 23 กิโลเมตรต่อลิตร แต่จู่ ๆ กลับกินน้ำมันเพิ่มขึ้นมาเป็น 16 กิโลเมตรต่อลิตร นั่นหมายความว่าสภาพเครื่องยนต์เริ่มมีการเสื่อมสภาพ มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ นั่นหมายถึง ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเริ่มขึ้น การทนขับรถต่อไปอาจหมายถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมาทั้งจากระบบการเผาไหม้ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
6. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อรถเสียบ่อย ซ่อมไม่จบ!
รู้ใจเชื่อว่า ใครก็ตามที่เคยใช้รถที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไปมักเจอกับปัญหา ซ่อมแล้วเสีย เสียแล้วซ่อม แบบนี้วนเวียนไปมา เมื่อตรวจพบอาการเสียในจุดหนึ่งและนำไปซ่อม พอนำออกมาใช้ใหม่กลับเจอความเสียหายเพิ่มเติมอีก ภาษาช่างจะเรียกอาการของรถในรูปแบบนี้ว่า “เสียกินตัว” ซึ่งเกิดจากความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถนั่นเอง แม้ว่าจะทำการซ่อมมาดีแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังพร้อมเสียได้อีกตลอดเวลา
7. ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อรถส่งสัญญาณเสียรอบคัน
เมื่อใดก็ตามที่การใช้งานรถเริ่มส่งสัญญาณที่ไม่ปกติ เช่น การสตาร์ทรถที่ใช้เวลานานมากจนเกินไป เสียงที่ดังลั่นจากตัวถังรถ ระบบช่วงล่าง หรือระบบเกียร์ รวมไปถึงการควบคุมรถที่ดูเหมือนควบคุมได้ยากขึ้น เช่นการควบคุมพวงมาลัยที่หนักเกินไปหรือเบาเกินไป เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีความเสียหายที่หนักมากกำลังเกิดขึ้นและอาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนแปลงการใช้งานรถคันนี้ได้แล้ว เพราะถ้าไม่เปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมทั้งหมดอาจแพงถึงขั้นดาวน์รถคันใหม่ป้ายแดงได้เลยก็เป็นไปได้
ทั้งหมดนี้คือ 7 สัญญาณแรง ๆ ที่คุณต้องโบกมือลารถคันเก่า แม้ว่าจะผูกพันกันมานานก็ตาม แต่เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนทั้งสำหรับตัวคุณเองและคนอื่น ๆ การเลือกหารถใหม่ก็เป็นทางออกที่ดีทางเลือกหนึ่ง การซื้อรถใหม่นั้นคุณยังสามารถทำประกันรถยนต์ที่คุ้มครองได้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของคุณ อย่างที่รู้ใจ ช่วยเซฟค่าเบี้ยประกันสูงสุด 30% ปรับแต่งแผนความคุ้มครองได้ตามใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องงานซ่อม เพราะเคลมไว มีอู่และศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 1,800 แห่ง แถมรับประกันงานซ่อมนานถึง 12 เดือน ให้รู้ใจช่วยดูแลคุณต่อให้ถึงเวลาจะโบกมือลารถเก่าต้อนรับรถใหม่คุณก็อุ่นใจได้อยู่เสมอ
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)