รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ในยุคปัจจุบันนี้เป็นรถอเนกประสงค์ที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของระบบความปลอดภัย การใช้งานที่ง่ายดายและหลากหลาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกคนจะหมายถึงรถกระบะหรือปิคอัพเสียส่วนมาก การใช้งานในส่วนของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นดูยุ่งยากและเข้าใจยาก แต่ในปัจจุบันนั้นมีเทคโนโลยีที่ช่วยการใช้งานได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกบรรจุไว้ในรถประเภท SUV และ PPV รวมถึงรถปิคอัพแบบ 4×4 แต่ละประเภทนั้นราคาแตะระดับล้านด้วยกันทั้งนั้น
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึงระบบในรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้กันอยู่ ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ PART TIME และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ FULL TIME
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ PART TIME
ในระบบนี้ถือกันว่า เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับรถที่ใช้วิ่งในทางทุรกันดาร โดยระบบนี้ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ PART TIME Hi (สัญลักษณ์ 4H) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ PART TIME Lo (สัญลักษณ์ 4L) ทั้ง 2 รูปแบบมีการทำงานที่เหมือนกัน คือ เมื่อผู้ใช้เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่ง 4H หรือ 4L เฟืองตัวกลางของห้องเกียร์ขับเคลื่อนเข้าล็อคติดกับห้องเกียร์ปกติ ซึ่งจะทำให้กำลังของเครื่องยนต์ถูกแบ่งครึ่งให้ส่งกำลังไปอยู่ที่ล้อคู่หน้า 50% และล้อคู่หลัง 50%
ข้อดี ของระบบ PART TIME คือ การนำรถที่มีระบบขับเคลื่อนระบบนี้ไปใช้ในทางสมบุกสมบัน ซึ่งโอกาสที่ล้อใดล้อหนึ่ง เกิดอุปสรรคที่ล้อที่เหลือก็ยังสามารถหมุน และนำรถให้เคลื่อนที่ต่อไปได้
ข้อควรระวัง เนื่องจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ PART TIME นั้น กำลังของเครื่องยนต์จะถูกแบ่งครึ่งเป็นล้อคู่หน้า 50% และล้อคู่หลัง 50% ดังนั้น การบังคับเลี้ยว หรือการคล่องตัวในการหักเลี้ยวจะด้อยกว่าระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพราะกำลังของเครื่องยนต์จะกำหนดจำนวนรอบการหมุนของล้อคู่หน้าและล้อคู่หลังให้หมุน ในจำนวนรอบที่เท่ากัน ดังนั้นจะเกิดอาการขืนของรถในขณะหักเลี้ยว วงเลร้ยวของรถ เมื่อใช้ระบบ PART TIME จะมีรัศมีวงเลี้ยวที่มากกว่าระบบ 2 ล้อทั่วๆไป ส่วนข้อแตกต่างระหว่าง PART TIME กับ Hi PART TIME Lo ก็คือ ในระบบ PART TIME Lo นั้นจะมีเฟือง เกียร์อีกชุดหนึ่งเพิ่งเข้ามา เพื่อทำให้อัตราทดของแรงบิดเพิ่มขึ้น ทำให้ง่ายต่อการปีนป่ายในทาลาดชันมากๆ หรือในทางสมบุกสมบันมากๆ แต่ความเร็วของรถอาจจะลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 3 ของความเร็วปกติ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ FULL TIME
เป็นระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนท้องถนนปกติ มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนโดยเฉพาะ เมื่อใช้ความเร็วสูง บนทางโค้ง หรือทางที่ เปียกลื่น การทำงานของระบบนี้จะแตกต่างจากระบบ PART TIME โดยสิ้นเชิงในระบบ FULL TIME นี้ กำลังของเครื่องยนต์จะถูกส่งไปที่ล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง ไม่คงที่ เหมือน ระบบ PART TIME หากแต่อัตราส่วนของกำลังที่ถูกส่งไปที่ล้อคู่หน้าและล้อคู่หลังจะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของแรง เสียดทานระหว่างล้อคู่หน้ากับล้อคู่หลัง เมื่อล้อคู่ใดมี แรงเสียดทานมากกว่า กำลังของเครื่องยนต์จะถูกถ่ายไปหาล้อคู่ ที่มีแรงเสียดทานน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น ในกรณที่รถวิ่งในทางปกติ กำลังของเครื่องยนต์จะถูกส่งไปยัง ล้อคู่หน้า 50% และล้อคู่หลัง 50% เนื่องจากในการวิ่งทางตรงนั้น ล้อคู่หน้ากับล้อคู่หลัง มีอัตราแรงเสียดทานที่เท่ากัน ต่อจากนั้นเมื่อคุณหักเลี้ยวล้อคู่หน้าจะมีแรงเสียด ทานมากกว่าล้อคู่หลังทันที อัตราการส่งกำลังของเครื่องยนต์ก็จะส่งไปที่ล้อ คู่หน้าน้อยลงและไปเพิ่มที่ล้อหลัง เมื่อคุณหักเลี้ยว ล้อคู่หน้าอาจจะมีกำลังเหลือ 40% หรือ 30% หรือน้อยกว่าล้อหลังก็จะมีกำลังเพิ่มเป็น 60% หรือ 70% หรือมากกว่า
ข้อดี เนื่องจากอัตราการส่งกำลัง ไม่ได้ถุกแบ่งครึ่งตายตัวเหมือนระบบ PART TIME ดังนั้น ปัญหาเรื่องของวงเลี้ยว กว้างกว่าปกติ จึงไม่เกิดขึ้น จึงสามารถใช้งาน บนท้องถนนปกติได้ มีความคล่องตัวเหมือนรถขับเคลื่อน 2 ล้อโดยทั่วไป อีกทั้งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิ่งบนทางโค้ง หรือคดเคี้ยวและลื่น การเกาะถนนจะมั่นคงและแน่นอนกว่าระบบขับเคลื่อน 2 ล้อทั่วไป
ข้อควรระวัง การนำรถที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ FULL TIME ไปใช้ในทางทุรกันดาร ทางที่สมบุกสมบัน และเมื่อล้อใดล้อหนึ่งเกิดอุปสรรค คือ มีอาการหมุนฟรี เกิดขึ้น โดยเฉพาะล้อหน้าแล้วกำลังของเครื่องยนต์ก็จะถูกส่งไปที่ล้อที่หมุนฟรีนั้นทั้งหมด เนื่องจากล้อที่หมุนฟรีนั้น ไม่มีแรงเสียดทานเลย เมื่อเทียบกับอีก 3 ล้อที่เหลือ ซึ่งอยู่บนพื้นถนนปกติ ทำให้ล้อที่เหลือไม่มีกำลังที่จะดันรถให้พ้นอุปสรรคได้ แตกต่างจากระบบ PART TIME จากตัวอย่างเดียวกันรถในระบบ PART TIME เมื่อล้อหน้ามีอุปสรรค กำลังก็จะสูญเสียแค่ล้อหน้า คือ 50% แต่รถยังมีกำลังเหลืออีก 50% ที่ล้อหลังสามารถดันรถผ่านอุปสรรค
(ข้อมูลจาก Thai Jeep Club)
เรามาลองดูกันว่าไลฟ์สไตล์แบบไหนถึงจะเหมะกับการใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ
คนที่ชื่นชอบการเดินทาง ซึ่งดูแล้วกลุ่มนี้กว้างมาก ใครๆ ก็ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทางด้วยกันทั้งนั้น เราจะมาแยกตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางแล้วกัน
เดินทางตามภารกิจหน้าที่ คนกลุ่มนี้จะคือต้องเดินทางตามหน้าที่การงานที่ใช้ระยะทางไกลๆ ในแต่ละวัน และต้องการความมั่นใจกับยานพาหนะในการเดินทาง ที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ คือการยึดเกาะถนนที่มากกว่ารถขับเคลื่อน 2 ล้อ ทำให้มั่นใจทุกสภาพเส้นทางไม่ว่าถนนเปียกหรือถนนแห้ง
เดินทางเพราะชอบผจญภัย หาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ให้กับชีวิตตัวเอง คนกลุ่มนี้เหมาะกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อมากที่สุด เพราะทุกครั้งในการเดินทางส่วนใหญ่จะไม่สามารถคาดการณ์สภาพเส้นทางได้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าจะไต่เขาสูงชัน ลุยข้ามน้ำ ปีนไต่อุปสรรคนานาชนิด กลุ่มคนเหล่านี้เหมาะกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ PART TIME ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวไว้ในข้างต้น
คนชอบการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูงหรือแบบครอบครัว รถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากมีความมั่นใจสามารถลุยไปได้ทุกเส้นทาง ยึดเกาะถนนเป็นเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นโค้งแบบไหน ยังสามารถนั่งได้หลายที่นั่ง รวมถึงพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระนั้นมีมาก จะเป็นรองก็แค่ รถปิคอัพ 4×4 เท่านั้น
คนที่ชอบออฟชั่นแบบจัดเต็ม จะสังเกตได้ว่าในปัจจุบันค่ายรถให้ความสำคัญกับรถอเนกประสงค์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงรถปิคอัพ 4×4 แบบ 4 ประตู จะเป็นรุ่นท็อปที่ใส่ออฟชั่นอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยไว้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนป้องกันการชนด้านหน้า เซ็นเซอร์รอบคัน ระบบเตือนมุมอับที่กระจกข้างหรือ Blind Spots ระบบ Lane Keeping ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน จะช่วยคนขับในการควบคุมรถ เมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ กล้องมองรถรอบคัน หรือกล้องหลังที่มีบอกองศาของพวงมาลัยและทิศทางที่รถจะไปเมื่อถอยหลังเข้าจอด ระบบนำทางหรือ Naviator ระบบกดปุ่มสตาร์ท ระบบเอ็นเตอร์เทนแบบเต็มรูปแบบ ดูหนังฟังเพลงได้ พร้อมจอด้านหลัง เป็นต้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ได้เน้นใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมากเท่าไรนัก
ลองเลือกกันดูว่าไลฟ์สไตล์ในการใช้รถของคุณเป็นแบบไหน ซึ่งหลายค่ายผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ทั้งหลายมีรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้ได้เลือกเหมาะกับการเดินทางของคุณอยู่ด้วยกันหลายโมเดล
ไม่ว่าจะไลฟ์สไตล์แบบไหน มีรู้ใจไว้เคียงข้างทุกการเดินทาง รับรองอุ่นใจแน่ ด้วยประกันชั้น 1 ผ่อน 0% ยาว 10 เดือน พร้อมฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม.กรณีรถเสีย โทรหาเรา 02 582 8888 หรือคลิกเช็คเบี้ย