เข้าสู่เทศกาลวันหยุดปีใหม่กันแล้ว หลายคนเริ่มวางแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปสัมผัสอากาศหนาว ที่ปีนี้คาดกันว่าอากาศจะหนาวเย็นกว่าทุกปี เรามีสถานที่มาแนะนำ ทั้งแลนมาร์คใหม่ๆ และสถานที่ยอดฮิตนิยมไปท่องเที่ยวมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่ยังตัดสินใจกันไม่ได้
1. สะพานชลมารควิถี ๘๔ พรรษา
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เพิ่งเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก และเป็นสถานที่พักผ่อนชมทิวทัศน์ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชลบุรี สะพานชลมารควิถี 84 พรรษา เป็นสะพานที่ทอดยาวเลียบชายทะเล ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร กั้นพื้นชุมชนชาวเล ตั้งแต่เขตเทศบาลเมืองชลบุรี ไปจนถึงเทศบาลตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยได้ขอรับพระราชทานเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวยังนิยมขับรถยนต์ชมวิวทะเล บางคนจอดรถนำอาหารมานั่งกินกันริมฟุตบาท ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของท้องทะเล นอกจากนี้ เส้นทางดังกล่าวยังหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดในตัวเมืองได้อีกด้วย
2. สกายวอล์ก วัดผาตากเสื้อ จ.หนองคาย
วัดผาตากเสื้อ ที่ตั้งอยู่บนเขาในเขตอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย จากจุดชมวิววัดผาตากเสื้อหากมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นวิวแม่น้ำโขงวาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะ ขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูป Y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน การเดินทางจากจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าสู่ถนนหลวงหายเลข 211 เรียบแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ 96 กิโลเมตร ถึงบ้านดงต้อง ตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม จะมีป้ายทางซ้ายมือบอกเส้นทางไปวัดถ้ำเพียงดินอีก 14 กิโลเมตร และวัดผาตากเสื้อ 7 กิโลเมตร โดยรถประจำทาง บขส. สายหนองคาย-เลย ผ่านอำเภอสังคม ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง วันละหลายเที่ยวตั้งแต่เวลา 06.00-16.00 น. ออกทุก 30 นาที และต่อสองแถวซึ่งออกวันละ 1 เที่ยวเท่านั้น เพื่อเข้าไปชมวัดถ้ำเพียงดิน และวัดผาตากเสื้อ ปัจจุบันมีการสร้างสกายวอล์กกระจกใสแห่งแรกของเมืองไทย เป็นจุดชมวิวใหม่ของอีสาน มีลักษณะเป็นทางเดินกระจกใสที่ยื่นออกไปจากหน้าผาบริเวณวัดผาตากเสื้อ มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้า เป็นทางเดินกระจกใสยื่นจากหน้าผาออกไป 6 เมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 คน เพราะใช้วัสดุอย่างดีในการก่อสร้าง และสร้างราวกั้นตลอดแนวสองด้าน อีกทั้งยังปรับปรุงภูมิทัศน์รอบด้านให้สวยงาม เพื่อให้เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงสุดอันซีนแห่งใหม่ของจังหวัดหนองคายและประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวนี้ บริเวณสกายวอล์ก วัดผาตากเสื้อ ก็ยังปรากฏทะเลหมอกสุดอลังการ ที่ลอยเหนือแม่น้ำโขง เมืองสังคม และแนวเทือกเขาของสปป.ลาวอย่างงดงาม ยามเช้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่วัดผาตากเสื้อ โทรศัพท์ 09 1862 3462
3. ภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์
ภูสอยดาว อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงตามแนวชายแดนไทย-ลาว มีความสูงอยู่ที่ 2,102 เมตร อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี สภาพป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ทำกินของชาวเขาเผ่าม้ง แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ป่าสน ทุ่งดอกไม้ หน้าผาจุดชมวิว น้ำตกสายทิพย์ และน้ำตกภูสอยดาว พื้นที่ป่าสนสามใบ เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เนื่องจากจะพบเห็นทะเลหมอกและดอกไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกหงอนนาคขึ้นอยู่ทั่วไป และกล้วยไม้ป่าตามคาคบไม้ใหญ่ ระยะทางเดินทางจากเชิงเขา 6.5 กิโลเมตร บางช่วงเป็นเส้นทางชัน ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง มีสถานที่กางเต็นท์และห้องสุขาบริการ ทั้งนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ 53110 โทรศัพท์ 0 5543 6001-2 การเดินทาง ถ้ามาจากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1246 ถึงบ้านแพะแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 ผ่านอำเภอชาติตระการ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1237 ผ่านบ้านบ่อภาคไปบรรจบกับเส้นทางแผ่นดินหมายเลข 1268 ถึงน้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว รวมระยะทางประมาณ 188 กิโลเมตร จากจังหวัดอุตรดิตถ์ใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1047 (อุตรดิตถ์-น้ำปาด) จนถึงอำเภอน้ำปาดแล้วเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1239 ไปอีก 47 กิโลเมตร จึงเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1268 ไปอีก 18 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ รวมระยะทางประมาณ 133 กิโลเมตร
4. เขาพะเนินทุ่ง จ.เพชรบุรี
เขาพะเนินทุ่ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นภูเขาสูงประกอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร ซึ่งบริเวณโดยรอบจะเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ป่านานา ชนิดมากมายสภาพภูมิประเทศจะมีความ สมบูรณ์และมีทิวทัศน์ ที่งดงาม นอกจากนี้พะเนินทุ่งยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามสามารถ ชม ได้ตลอดทั้งปีถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนก็ ในยามเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อทะเลหมอกสลายตัวไป แล้วจะมองเห็น ผืนป่าดงดิบเบื้องล่างเบียดตัวกันแน่นท่ามกลาง เทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา บางครั้งอาจพบนกเงือกกรามช้างบินอยู่เหนือผืนป่า ที่พะเนินมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี โดยจุดชมทะเลหมอกจะสามารถชมได้ 2 จุด คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจได้แก่ น้ำตกทอทิพย์ และน้ำตกธารทิพย์ที่สวยงามอยู่บน ยอดเขานอกจากนี้ พะเนินทุ่งยังมีกิจกรรมการชมนก นานาชนิดรวม 400 กว่าชนิด ชมผีเสื้อหลากสีกิจกรรม เดินป่าเส้นทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง บางช่วงชัน 45 องศา และบางช่วงต้อง ผ่านลำธารกว้าง 6 เมตร ขรุขระยานพาหนะที่ใช้ควรเป็นรถยนต์ประเภทรถขับเคลื่อน 4 ล้อ และที่สำคัญผู้ขับขี่จะต้องมีประสบการณ์ในการขับรถบนเส้นทางออฟโรดด้วย
5. เขากระโจม จ.ราชบุรี
เขากระโจม สูงจากระดับความสูง 1,045 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ในแนวสุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก เขากระโจมจึงกลายเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ กำลังนิยมมาก เพราะใกล้กรุงเทพฯ สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจดจำไม่รู้ลืม คือ หนทางที่สมบุกสมบันยากลำบาก จนเป็นเรื่องพูดคุยในความทรงจำตลอดไป เขากระโจม ที่มีบางคนเรียกว่า เขาช่องกระโจม นั้น คนพื้นที่เล่า ให้ฟังว่า ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินบริเวณนี้มาก่อนเรียกชื่อว่า เขาลันดา ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่มีที่ราบ คนไทยรุ่นที่ไปทำเหมืองแร่ดีบุกที่นั่นย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน เห็นรูปลักษณะของเขาว่าคล้าย กระโจมอินเดียนแดง ก็เลยเปลี่ยนชื่ให้เป็น เขากระโจม เขากระโจม ห่างจาก อ.สวนผึ้งประมาณ 29 กม. ห่างจาก จ.ราชบุรี ประมาณ 69 กม. และ ห่างจากพม่า 1.9 กม. เป็นแหล่งท่องเที่ยว แห่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดในเทือกเขาตะนาวศรี คือจุดชมวิวเขากระโจม ซึ่ง สามารถ มองเห็นทั้งประเทศไทยและประเทศพม่า มีไม้ป่านานาชาติ อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิหนาวเย็นทั้งปี เหมาะ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบธรรมชาติป่าเขาและรักการผจญภัย เป็นขุดชมทะเลหมอกและ พระอาทิตย์ขึ้นและ พระอาทิตย์ตกที่สวยงามของสวนผึ้ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงที่จะเกิดทะเลหมอกมากที่สุด ระยะทางจากตีนเขาถึงยอดเขาเป็นระยะทาง 10 กม. การขึ้นไปที่เขากระโจม ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้นเท่านั้น เนื่องจากว่าเส้นทางขึ้นเขากระโจม นั้นสูงชันและ สมบุกสมบัน บางช่วงยังต้องลุยน้ำที่สูงถึงครึ่งคันรถ ก่อนจะไปลุ้นกัน กับเนินสูงยาว หรือหากไม่มีรถขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถนำรถไปจอดยังปากทางขึ้นเขากระโจม และใช้บริการรถจากกลุ่มผู้ให้บริการรถ 4X4 “กลุ่มรักษ์เขากระโจม” ในราคาเหมาคัน ขึ้นลง 1,500 บาท หรือค้างคืนคันละ 2,500 บาท หลังจากชมวิวทิวทัศน์บนยอดเขากระโจมแล้ง ระหว่างทาง ยังแวะชม “น้ำตกผาแดง” เดินเท้าเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก่อนจะพบกับสายน้ำตกขนาดกลางไหลผ่านหน้าผาหินสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อ “น้ำตกผาแดง” ท่ามกลาง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น หากมาในช่วงหน้าฝนจะมีทากต้องเตรียมอุปกรณ์กันทากมาให้พร้อม และสนุกน่าฉงนกับ “เนินมหัศจรรย์ ” เมื่อจอดรถยนต์ตรงเนินมหัศจรรย์ รถยนต์จะค่อยๆ ไหลขึ้นเนินเอง โดยที่ไม่ต้องติดเครื่องยนต์หรือใส่เกียร์เดินหน้าเลย ซึ่งเนินมหัศจรรย์จะมีป้ายบอกไว้
6. พุเตย จ.สุพรรณบุรี
อุทยานแห่งชาติพุเตย เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งเดียวในจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขุนเขารายรอบ อุดมด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่า ส่วนที่สูงที่สุดเรียกว่า “ยอดเขาเทวดา” ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดในจังหวัดสุพรรณบุรี มีระดับความสูง 1,123 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย มีป่าสนสองใบที่ขึ้นเพียงแห่งเดียวในภาค สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดในอุทยานแห่งชาติพุเตย ป่าสนสองใบ แห่งเดียวในผืนป่าตะวันตกและมีจำนวนมากถึง 1,300 ต้น ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 13 กิโลเมตร ศาลเลาห์ด้า ใช้เส้นทางเดียวกับป่าสนสองใบ อยู่ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 12 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เครื่องบินของสายการบินเลาดาห์แอร์ Boing767-300 ตก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2534 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งผู้โดยสารและลูกเรือรวม 223 บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูงเชิงเขาเทวดา ชุมชนเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในช่วงต้นหนาวในหมู่บ้านนี้อากาศดีมาก และในบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เช่น น้ำตกพะเนินคี่ใหญ่ น้ำตกพะเนินคี่น้อย ถ้ำตะเพินเงิน ถ้ำตะเพินทอง ถ้ำตะเพินเพชร ฯลฯ จนหมู่บ้านตะเพินคี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแวะพักผ่อนของนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงในจังหวัดสุพรรณบุรี
7. ปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน
ปางอุ๋ง หรือชื่อเป็นทางการว่า อ่างเก็บน้ำปางตอง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายตัว L อยู่บนที่ราบสูงมีปลายน้ำไหลออกไปยังห้วยมะเขือส้ม ปางอุ๋งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขาให้ดีขึ้น และฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรจากที่สมัยก่อนมีการทำไร่เลื่อนลอย ปลูกพืชยาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า แต่ก็ยังมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำปางตองดูแลโดยกรมชลประทานแม่ฮ่องสอน รอบๆ ปางอุ๋งจะเป็นแนวทิวสน ในตอนเช้าจะมีหมอกจางๆ อยู่เหนือผิวน้ำ มีหงส์หลายคู่ว่ายน้ำ ด้วยบรรยากาศที่สวยงาม โรแมนติคแบบนี้หลายคนตึ้งตั้งชื่อปางอุ๋งว่า “สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย” กิจกรรมที่แนะนำสำหรับผู้ที่มาปางอุ๋ง คือการล่องแพไม้ไผ่ เคล้าสายหมอกที่ทะเลสาบปางอุ๋ง แพไม้ไผ่ลำนึงจะนั่งได้ 2 คนรวมกับคนพายเป็น 3 คน มีเสื้อชูชีพให้ คิดค่าบริการลำละ 150 บาท จะได้ชมวิวป่าสนรอบทะเลสาบจะได้ชมดอกนางพญาเสือโคร่งบานเป็นสีชมพูทั้งต้นซ่อนตัวอยู่ในป่าสน ระหว่างที่ล่องแพก็จะเจอกับฝูงหงส์ที่ว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบ ระยะเวลาในการล่องแพประมาณ 30 นาที สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศปางอุ๋งแบบเต็มอิ่ม แนะนำให้นอนค้างคืนที่ปางอุ๋ง จะได้สัมผัสอากาศหนาวจัดในตอนกลางคืน และหมอกในตอนเช้า แนะนำว่าช่วงหน้าหนาวให้จองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน ที่พักมีจำนวนจำกัดและเต็มเร็วมาก ที่กางเต๊นท์ริมทะเลสาบจำกัดวันละ 100 เต๊นท์ ต้องมาติดต่อที่ศูนย์ศิลปาชีพ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก่อน 12.00 น. มีให้บริการเต๊นท์ ผ้าห่มหรือจะนำเต็นท์มาเองก็ได้ รวมไทยเกสท์เฮ้าส์ที่พักติดทะเลสาบ เป็นบ้านคล้ายกระท่อมหลังคามุงด้วยใบไม้ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่สาน มีอยู่ประมาณ 10 กว่าหลัง ต้องจองล่วงหน้าผ่านศูนย์ศิลปาชีพ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่พักในหมู่บ้าน มีบ้านพักประมาณ 70 หลัง
8. คลองโคลน จ.สมุทรสงคราม
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจ เพาะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แต่ก่อนนั้น คลองโคลนเป็นเหมือนทางผ่านไม่ค่อยมีใครแวะมากนัก นอกจากผู้ที่ชื่นชอบอาหารทะเลจริงๆ รวมถึงแต่ก่อนนั้น ป่าชายเลนคลองโคลนนั้นค่อนข้างเสื่อมสภาพ จึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก จนภาครัฐได้เข้ามาปรับปรุงแก้ไขทำให้ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนของบ้านคลองโคนกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เกิดมีสัตว์น้ำชายฝั่งมากมาย สามารถทำการประมงเลี้ยงชีพได้อย่างพอเพียง ชาวบ้านบางส่วนได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มอาชีพตามความถนัด เช่น กลุ่มชาวเรือ กลุ่มทำอาหาร กลุ่มกระเตง หรือกระท่อมของชาวประมงที่ปลูกกลางทะเลเพื่อใช้เฝ้าฟาร์มหอยแครง และเกิดเป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ขึ้นมา การเที่ยวป่าชายเลนเป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แวดล้อมด้วยบรรยากาศธรรมชาติ ที่ป่าชายเลนคลองโคลน นักท่องเที่ยวจะได้ชมป่าชายเลน ให้อาหารลิงแสม ชมวิถีชีวิตการทำประมงพื้นบ้าน การเลี้ยงหอยแครง หอยแมงภู่ หอยนางรม ฯลฯ สามารถไปเช้าเย็นกลับ หรือจะพักค้างคืนบนโฮมกระเตงเพื่อใกล้ชิดกับธรรมชาติก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวนี้ มีล่องเรือชมนกต่างถิ่นที่อพยพมา รวมถึงหิ่งห้อยอีกด้วย
9. น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ เป็นสถานที่สุดยอดอมตะตลอดกาลสำหรับการท่องเที่ยวในหน้าหนาว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานมากมาย เรียกได้ว่าห้ามพลาดเป็นอันขาดถ้ามาที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ได้แก่ “จุดชมทิวทัศน์ถ้ำผาหงษ์” จุดชมพระอาทิตย์ที่มีชื่อเสียงของอุทยาน ซึ่งภายในถ้ำผาหงส์ยังมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวหลายชนิด “จุดชมทิวทัศน์ภูค้อ” อีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของผืนป่าเขียวขจี และ “สวนสนภูกุ่มข้าว” ป่าสนสามใบ ที่มีต้นสนขนาดใหญ่ขึ้นรายล้อมตามธรรมชาติอย่างหนาแน่น ราวกับเป็นท้องทะเลของยอดสนสีเขียวแสนสวยงาม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว โทร. 056 729 002
10. ดอยเสมอดาว จ.น่าน
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสัมผัสกับไอหมอก และวิวแบบทะเลหมอกไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งกับ ดอยเสมอดาว จ.น่าน เป็นพื้นที่ที่มีลานกว้างเหมาะสำหรับกางเต็นท์ เป็นจุดที่ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ที่สามารถมองเห็นได้รอบทิศทาง เห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำน่านที่ทอดยาวในหุบเขาและเห็นยอดผาชู้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้ารวมทั้งมองเห็นบ้านพักและที่ทำการอุทยานฯ ในตอนเย็นสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้ด้วยและสามารถมองเห็นตัวเมืองนาน้อย ไร่ นา ของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีอีกจุดที่ห้ามพลาดคือ ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผาที่มีลักษณะคล้ายสิงโตนอนหมอบและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จึงเป็นที่มาของชื่อ ผาหัวสิงห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดชมวิวดอยเสมอดาว บนผาหัวสิงห์เองก็เป็นจุดชมวิว 360 องศา ทิศเหนือมองเห็นอำเภอเวียงสา ทิศใต้เป็นวิวแนวเทือกเขา ทิศตะวันออกมองเห็น ผาชู้ แม่น้ำน่าน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ผ่านนครสวรรค์ พิษณุโลกถึงแพร่ จากแพร่ตามถนนยันตรกิจโกศล ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปถึงอำเภอเวียงสา เลี้ยวขวาไปตามถนนเจ้าฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอ เวียงสาไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 35 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตามถนนสายนาน้อย -ปางไฮ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083 ไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงเสาดิน และถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ
ลองเลือกกันดูมีทั้งแบบใกล้และไกล แต่ที่สำคัญสำหรับผู้ที่จะเดินทางด้วยการขับรถยนต์ไปเองนั้น ควรตรวจสภาพรถให้พร้อมกับการเดินทาง ศึกษาเส้นทางล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง ผู้ขับขี่ควรเตรียมความพร้อมร่างกายให้พร้อมที่สุด จะทำให้ช่วงพักผ่อนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่นี้จะได้มีแต่ความทรงจำที่ดีตลอดไป
ก่อนเที่ยวอย่าลืมเช็คประกันว่าหมดหรือยัง หรือมีประกันติดรถให้อุ่นใจหรือยัง ให้ “รู้ใจ” เคียงข้างคุณ ด้วยประกันชั้น 1 ผ่อนสบายๆ 0% 10 เดือน การันตีถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาที คลิกเช็คเบี้ยเลย!