
ทุกวันนี้ฝุ่นและควันมลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายคนเรามากมายหนึ่งในนั้นคือการเป็นภูมิแพ้ หลายคนเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอากาศที่แย่ลงก็เป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง อ.พญ.นวรัตน์ อภิรักษ์กิตติกุล ประจำภาควิชาโสต คอ และนาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวเอาไว้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก อย่างน้อย 3-4 เท่าตัว ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจถึงโรคภูมิแพ้กันดีกว่าว่ามีทั้งหมดกี่ชนิด วิธีตรวจหาว่าร่างกายเราแพ้อะไรทำอย่างไร และวิธีป้องกันไม่ให้ตนเองเป็นภูมิแพ้
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- โรคภูมิแพ้คืออะไร?
- โรคภูมิแพ้มีอาการยังไง?
- โรคภูมิแพ้มีทั้งหมดกี่แบบ?
- โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร?
- วิธีรักษาภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้คืออะไร?
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ในรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยสารบางอย่างเราอาจจะแพ้มาตั้งแต่เกิดแล้ว หรืออาจเพิ่งมาแพ้สารก่อภูมิแพ้จากการได้รับเข้าไปในร่างกายปริมาณมากก็ได้ ดังนั้นใครก็สามารถจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ หากได้รับปัจจัยเสี่ยงเข้าไป
โรคภูมิแพ้มีอาการยังไง?
โรคนี้มีสาเหตุนึงมาจากพันธุกรรม ดังนั้นหากมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรค อาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น โดยอาการภูมิแพ้แสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้และระบบของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ อาการทั่วไปมีดังนี้
- อาการของระบบทางเดินหายใจ
- จาม หรือ คันจมูก เช่น อาการที่เกิดจากภูมิแพ้ไรฝุ่น, เกสรดอกไม้ หรือ ขนสัตว์
- น้ำมูกไหล หรือ คัดจมูก
- ไอ หรือ หายใจลำบาก โดยเฉพาะในกรณีของหอบหืดจากภูมิแพ้ (Allergic Asthma)
- หายใจมีเสียงหวีด หรือ หายใจตื้น เมื่อมีการกระตุ้นจากสารที่แพ้
- อาการทางผิวหนัง
- ผื่นคัน หรือ ผื่นแดง เช่น อาการจากการแพ้อาหาร หรือ ผื่นแพ้สัมผัส
- ลมพิษ เกิดผื่นบวมแดงคล้ายผื่นนูน ๆ บนผิวหนัง
- บวมที่ริมฝีปากหรือเปลือกตา หรือในบางกรณีอาจมีการบวมที่ลิ้นหรือคอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการหายใจ
- อาการที่เกี่ยวข้องกับตา
- ตาแดง หรือ คันตา ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้เกสรดอกไม้, ขนสัตว์, หรือ ฝุ่น
- น้ำตาไหล หรือ ตาแห้ง
- อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
- คลื่นไส้ หรือ อาเจียน
- ปวดท้อง หรือ ท้องเสีย บางครั้งเกิดจากการแพ้อาหารหรือสารในอาหาร
- อาการทางระบบอื่นๆ
- อ่อนเพลีย หรือ เวียนศีรษะ
- อาการหายใจติดขัด หรือ หอบ อาจเกิดจาก หอบหืด ที่เกิดจากการแพ้
ในบางกรณี อาการภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนทำให้เกิด อาการแพ้รุนแรง หรือ Anaphylaxis ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยจะมีอาการดังนี้
- บวมที่ปาก ลิ้น หรือคอ
- หายใจลำบาก
- หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ
- ความดันโลหิตต่ำจนทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะหรือหมดสติ
- ช็อก
โรคภูมิแพ้มีทั้งหมดกี่แบบ?
โรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มโรคที่มักจะแสดงอาการได้หลายอย่างตามระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งจะแบบประเภทของโรคภูมิแพ้ออกไปตามสารหรือสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้
1. โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy)
เป็นภาวะการแพ้อาหารที่เกิดจากปฏิกิริยาอิมมูนที่ตอบสนองไวจนผิดปกติต่ออาหารที่กินเข้าไป โดยมักจะมีอาการทันทีหลังจากรับประทานอาหารชนิดนั้น และในบางกรณีที่มีอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิตได้เลย ส่วนอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป เช่น
- มีผื่นลมพิษขึ้น
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ถ่ายเหลว
- มีน้ำมูก
- มีอาการหอบ
หรือมีอาการจากหลาย ๆ ระบบร่วมกันเรียกว่า Anaphylaxis เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ความดันต่ำ และสำหรับอาหารยอดนิยมที่คนส่วนใหญ่แพ้กัน เช่น นมวัว ไข่ อาหารทะเล แป้งสาลี ถั่ว เป็นต้น
2. โรคลมพิษ (Uticaria)
โดยผู้เป็นภูมิแพ้อาการจะมีผื่นนูนแดงและคัน มีขอบเขตที่ชัดเจนและมีลักษณะผื่นที่เป็นจะเปลี่ยนที่ และหายแบบไม่มีร่องรอยเดิม โดยสาเหตุของลมพิษนั้น มาจากการแพ้อาหาร แพ้ยา หรือการติดเชื้อ ความร้อน ความเย็น รอยกดทับ หรือโรค SLE (ภูมิแพ้ตัวเอง) วิธีรักษาคือ การกินยาต้านฮีสตามีน หากอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
3. โรคภูมิแพ้อากาศ (Allegic Rhinitis)
เป็นภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยและมักจะพบในเด็กที่อยู่ในวัยเรียน โดยอาจตรวจพบร่วมกับโรคหอบหืดได้ ส่วนการแสดงอาการของโรค เช่น เป็นหวัดบ่อย หรือเป็นหวัดเรื้อรัง คัดจมูก นอนกรน จาม มีน้ำมูก คันตา หรือเป็นไซนัสอักเสบบ่อย หรือเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งโรคภูมิแพ้อากาศวิธีรักษาดูแลก็ไม่ยาก คือ ให้เด็ก ๆ ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือหลังกลับจากโรงเรียน และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ หากอาการรุนแรงควรพาไปพบแพทย์
4. โรคหืด (Asthma)
โรคหืดเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุหลัง 3 ปีขึ้นไป โดยโรคภูมิแพ้อาการเกิดโรคมาจากหลอดลมอักเสบแบบเรื้อรัง ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอาการหลอดลมตีบ และมีมูกอุดตันทำให้หายใจลำบาก แน่นหน้าอก มีเสียงวี้ด เวลาหายใจ ไอเรื้อรัง และอาการจะรุนแรงขึ้นหากได้รับเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ สำหรับการรักษา จะใช้ยาขยายหลอดลมในขณะที่มีอาการ และในกรณีที่มีอาการหอบกำเริบบ่อย คุณหมอจะให้ยาเพื่อควบคุม อาการ เช่น ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นสูด เพื่อลดการอักเสบของหลอดลม แต่หากมีอาการรุนแรงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร?
- พันธุกรรม โรคภูมิแพ้หลายโรคถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม เช่น โรคหืด โรคแพ้อากาศ
- สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นมากต่อการเกิดอาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าร่างกายทางการหายใจ การรับประทานอาหาร หรือผ่านทางการสัมผัส
- การแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส เช่น แพ้เครื่องสำอาง แพ้เครื่องประดับ
- สารก่อภูมิแพ้บางอย่างที่สังเกตได้ยาก เช่น ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อราในอากาศ ไรฝุ่นที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ฯลฯ
Tips: การดูแลตนเองสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้
คนที่มีอาการภูมิแพ้ควรเลี่ยงการใช้พรม เพื่อไม่ให้อาการภูมิแพ้กำเริบ และไม่ควรฉีดสเปรย์หรือน้ำหอม รวมถึงควรสระผมก่อนเข้านอนทุกคืน เพื่อป้องกันไรฝุ่นหรือเชื้อโรคที่ติดมากับผม โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวในอากาศเยอะ ๆ และหากต้องเข้าเมืองควรใส่หน้ากากกันฝุ่น PM2.5
วิธีรักษาภูมิแพ้
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคภูมิแพ้วิธีรักษาให้หายขาดได้นั้นยังไม่มี ผู้ที่มีอาการแพ้จะเป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นอยู่กับว่าไปโดนสิ่งกระตุ้นหรือไม่ โดยวิธีรักษามีดังนี้
- รักษาภูมิแพ้โดยการรับประทานยาแก้แพ้ – โดยจะมียาแก้แพ้ 2 กลุ่ม
- ยาแก้แพ้กลุ่มแรก (First Generation Antihistamine) ยากลุ่มนี้จะช่วยลดการหลั่งสารฮิสตามิน และอาการแพ้อื่น ๆ แต่มีผลข้างเคียงคือ อาการง่วงซึม
- ยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2 (Second Generation Antihistamine) ถูกพัฒนาขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างโมเลกุลของยาแก้แพ้กลุ่มที่ 1 เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและลดผลข้างเคียง ทำให้เกิดอาการง่วงนอนน้อยกว่า
- การรักษาภูมิแพ้ด้วยการฉีดวัคซีน – เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย เพื่อไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำปฏิกิริยากับสารที่ผู้ป่วยแพ้ เพื่อทำให้ไม่เกิดอาการแพ้อีก โดยผู้ป่วยสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 5 ปี
- วิธีรักษาภูมิแพ้ด้วยตัวเอง – ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นวิธีการรักษาที่สามารถทำได้เลยด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอไปพบแพทย์ โดยแนะนำให้ปรับพฤติกรรมดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
- ทำความสะอาดบ้าน เพื่อกำจัดฝุ่น
- กำจัดแมลง เพราะเป็นพาหะนำเชื้อโรคได้
- รักษาอุณหภูมิร่างกายตัวเองให้อุ่นอยู่เสมอ
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอ
- รับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบ 5 หมู่
- เลี่ยงการดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่
- นำเครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม ไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในขณะที่ค่าฝุ่นสูง หรือควรใส่หน้ากาก N95 ทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน
ช่วงนี้อากาศบ้านเรากับเปลี่ยนแปลง มีทั้งฝุ่นพิษเข้ามา แดดแรง ร้อน ฝน ดังนั้น การดูแลสุขภาพอยู่เสมอจะช่วงหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วย โดยนอกจากหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นอาการภูมิแพ้แล้ว การนอนหลับ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)
คำจำกัดความ
สารฮิสตามิน | เป็นสารที่มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการการอักเสบ หลั่งจากมาสต์เซลล์ เบโซฟิลและเกล็ดเลือด เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลายลง สารฮีสตามีนนี้จะไปจับกับตัวรับที่เส้นเลือดฝอยและเส้นเลือดดำเล็ก ทำให้เส้นเลือดขยายตัวและช่วยเพิ่มการไหลผ่านของพลาสมาในเลือด |
ยาสเตียรอยด์ | เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นมาจากต่อมหมวกไตชั้นนอก สำหรับทางการแพทย์นั้น เป็นสารที่สังเคราห์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการรักษาโรค ซึ่งตามกฎหมายแล้วกำหนดให้ยาสเตียรอยด์เป็นยาที่ควบคุมพิเศษ เพราะมีความเป็นพิษสูง และต้องเป็นแพทย์สั่งจ่ายให้เท่านั้น |
ภาวะแพ้เฉียบพลัน | เป็นการแพ้ที่รุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถเกิดจากการแพ้อาหาร, ยา, หรือแมลงกัดต่อย ภาวะนี้ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด (ทำให้ความดันโลหิตต่ำ) และบวมในทางเดินหายใจ ซึ่งอาจทำให้หายใจไม่ออก หรือหัวใจหยุดเต้น หากไม่ได้รับการรักษาทันที |