Roojai

โรคเกาต์คืออะไร? เช็คสาเหตุและอาการ รู้ก่อนป้องกันได้

เช็คสาเหตุและอาการของโรคเกาต์ | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

เรื่องของเกาต์เป็นเรื่องที่เราควรมีความรู้ติดตัวเอาไว้บ้าง เพราะเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง บางคนเอามาแซวเล่นเป็นเรื่องตลก แต่ทราบหรือไม่ว่าในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์บางคนมีอาการปวดทรมานมากจนไม่สามารถลงน้ำหนักหรือใช้งานอวัยวะข้างที่ปวดได้เลย ฉะนั้นเรื่องของเกาต์อาจจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นของเราอีกต่อไป มาทำความรู้จักโรคเกาต์ เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคนี้กันดีกว่า

โรคเกาต์ คืออะไร?

โรคเกาต์ Gout เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคข้ออักเสบทั้งหมด เป็นโรคข้ออักเสบจำเพาะ โรคเกาต์ เกิดจากร่างกายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ ทำให้มีการตกผลึกยูเรต (Monosodium Urate : MSU) ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบของข้อขึ้น และหากมีการตกตะกอนในเนื้อเยื่อต่าง ๆ และใต้ผิวหนัง จะทำให้เกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำตามตำแหน่งต่าง ๆ เรียกว่า โทฟัส

โรคเกาต์เกิดจากอะไร?

โรคเกาต์เกิดจากการที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และปวดอย่างรุนแรง เพราะกรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือ จากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยปกติแล้ว ร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณ 80% ส่วนอีก 20% จะได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ

ระดับยูริกในเลือดสูงเกิดจากอะไร?

  • การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกอยู่สูง – เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มหวาน ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลฟรุกโตส เป็นต้น
  • เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการสร้างเซลล์ – เช่น โรคมะเร็ง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย โรคสะเก็ดเงิน
  • เกิดจากการเจ็บป่วยที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริก – อาการเจ็บป่วยบางชนิด มีส่วนไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตกรดยูริกออกมาเกินความจำเป็น ขณะเดียวกันก็ลดความสามารถในการกำจัดกรดยูริกนั้นออกจากร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต
  • เกิดจากการรับประทานยาบางตัว – การใช้ยารักษาโรคบางชนิดส่งผลให้ไตขับกรดยูริกออกมาทางปัสสาวะได้น้อยลง
โรคร้ายแรงจากเกาต์ | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

โรคเกาต์ อาการเป็นยังไง?

สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ อาการมักจะมีการปวด บวมแดง หรือร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลัน และมักจะเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า หรือกับข้ออื่น ๆ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งอาการก็จะเป็น ๆ หาย ๆ ในระยะแรกโรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงกว่าผู้ที่ทำการรักษา จะปวดมากกว่า และปวดถี่ขึ้นและนานมากขึ้น จนกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะอื่นแทรกซ้อนและโรคร้ายแรงจากเกาต์ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย

เราไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราอาจเป็นโรคก่อน เช่น เกาต์ เบาหวาน แล้วยังจึงรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคร้ายแรงขึ้น แต่โรคร้ายแรงบางโรค เช่น มะเร็งก็อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวได้เช่นกัน การมีประกันจะช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายในวันที่ป่วย ประกันโรคร้ายแรงที่รู้ใจ เจอจ่ายจบ รับเงินก้อนสูงสุด 3 ล้านบาท คุ้มครองมากว่า 80+ โรคร้าย

โรคเกาต์วินิจฉัยยังไง?

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเกาต์ได้จากการตรวจร่างกาย และด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. เจาะน้ำในข้อที่มีอาการออกมาตรวจ – การเจาะน้ำในข้อที่มีอาการปวดออกมาตรวจดูว่ามีกรดยูริกหรือไม่ ถือว่าเป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะเป็นคนพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเจาะ เพราะหากผู้ป่วยยังมีอาการปวดอย่างรุนแรง อาจจะยังไม่สมควรแก่การเจาะ อาจต้องจ่ายยาให้รับประทานเพื่อให้หายอักเสบก่อนถึงจะนัดมาเจาะน้ำอีกที 
  2. เจาะเลือดเพื่อตรวจดูระดับกรดยูริก – เป็นการตรวจค่ายูริกว่ามีสูงมาก-น้อย มักนิยมตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อมรับการเจาะน้ำในข้อ แต่ระดับกรดยูริกสูงก็ไม่ได้หมายความว่าเกิดการตกตะกอนเป็นผลึกในข้อเสมอไป 
  3. ตรวจด้วยวิธี Dual Energy CT Scan – เป็นการตรวจแบบเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้แพทย์เห็นผลึกของกรดยูริกที่ตกตะกอนอยู่ในข้อได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำออกมาตรวจ แต่การตรวจแบบนี้ไม่ได้เหมาะกับผู้ป่วยเกาต์ทุกคน แต่จะเหมาะสำหรับกรณีที่ผลึกจับตัวเป็นก้อนใหญ่เกินไปจนไม่สามารถเอกซเรย์เห็นได้ โดยแพทย์จะประเมินจากลักษณะข้อที่ผิดปกติ หรือจากระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น เป็น ๆ หาย ๆ มานานถึง 5-10 ปี เป็นต้น

โรคเกาท์มักจะเกิดในเพศชายมากกว่าจริงมั้ย?

คำตอบคือ จริง โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่พบบ่อยที่สุดในเพศชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงเป็นสัดส่วน 9:1 มักตรวจพบเพศชายที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี และในเพศหญิงช่วงวัยหมดประจำเดือนหรืออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

ผู้ป่วยโรคเกาต์ห้ามกินอะไรบ้าง | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

โรคเกาต์รักษายังไง?

สำหรับการรักษาทำได้โดยการรับประทายานยาละลายผลึกยูริกแล้วให้ร่างกายขับออกมา เมื่อกรดยูริกในร่างกายลดลง อาการอักเสบของเกาต์ก็จะลดลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยลดอาการอักเสบแล้ว ยังเป็นการป้องกันการกลับมาสะสมใหม่และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรค โดยการรักษาโรคเกาต์ในช่วงที่มีอาการอักเสบ มีดังนี้

  • รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตตามอลหรือยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ
  • ช่วงที่มีการอักเสบของข้อ สามารถใช้ยา Colchicine 0.6 mg. จนอาการปวดดีขึ้น และควรหยุด การใช้ยาทันทีที่ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย
  • ให้ยาลดการอักเสบ
  • ช่วงที่มีอาการปวด ให้พักและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการตกตะกอนของกรดยูริก
  • นอนยกเท้าสูง ๆ 
  • เลี่ยงการยืนหรือเดินนาน ๆ 
  • ห้ามบีบ นวดข้อที่อักเสบ

วิธีป้องกันโรคเกาต์

สำหรับการป้องกันโรคเกาต์ สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ด้วยการเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง และผู้ป่วยควรดูแลตัวเองดังนี้

  • พบแพทย์ตามนัด และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
  • เลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด แอลกอฮอล์ เน้นรับประทานโปรตีนจากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ และผู้ป่วยควรศึกษาเรื่องอาหารโดยละเอียดว่า ผู้ป่วยโรคเกาต์ห้ามกินอะไร และอะไรบ้างที่ควรเลี่ยง
  • คุมน้ำหนักไม่ให้น้ำหนักเกิน และไม่ควรลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเพราะอาจเป็นการไปกระตุ้นให้เพิ่มระดับยูริกได้
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • หากมีอาการปวดเฉียบพลัน ให้พักการใช้ข้อที่อักเสบไว้ก่อน แล้วให้ใช้วิธีประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการ

ผู้ป่วยโรคเกาต์ห้ามกินอะไร?

การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญของผู้ป่วยโรคเกาต์ เพราะจะช่วยลดอาการเจ็บ และทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ห้ามกินเด็ดขาด ควรหลีกเลี่ยงอะไร และควรกินอะไร รู้ใจสรุปให้ดังนี้

  1. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้กรดยูริกสูงขึ้น เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
  2. งดอาหารที่มีพิวรีนสูง หน่อไม้ สะเดา ยอดกระถิน เครื่องในสัตว์ เป็ด ไก่ เป็นต้น
  3. เลี่ยงการกินไขมันมาก เพราะทำให้การขับยูริกออกยากขึ้น
  4. กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผักผลไม้ ช่วยลดอาการอักเสบ
  5. ดื่มน้ำเปล่า 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยการขับกรดยูริกผ่านทางปัสสาวะ

ประกันแบบไหนที่คุ้มครองโรคเกาต์?

  1. ประกันสุขภาพ ประกันกลุ่มบริษัท – หากใครที่มีประกันสุขภาพส่วนตัวอยู่ในมือ หรือแม้แต่ประกันกลุ่มของบริษัท สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลโรคเกาต์ได้ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่มีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อนการทำประกัน 
  2. ประกันสังคม สิทธิ์บัตรทอง -สามารถพบแพทย์รักษาโรคเกาต์ได้ตามโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันสังคมเอาไว้ 

การรักษาเกาต์ นอกจากการใช้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพ เช่น การควบคุมอาหาร ดื่มน้ำ ออกกำลังกายก็จะช่วยทำให้ลดอาการเจ็บปวดจากโรคเกาต์ได้ และสำหรับคนที่มีอาการโรคเกาต์หรือคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ เพราะโรคนี้สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือไตวายได้

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)

คำจำกัดความ

กรดยูริก สารที่ได้จากหารสลายตัวของพิวรีนซึ่งร่างกายสรา้งขึ้น และอีกส่วนยังมาจากอาหารบางชนิดที่ทานด้วย
การตกผลึกยูเรต เกิดจากการที่มีระดับยูริกในเลือกสูงเป็นเวลานาน ๆ จึงเกิดจากตกตะกอนที่ชื่อว่า ยูเรต สะสามอยู่ตามข้อแล้วทำให้เกิดการอักเสบขึ้น