Roojai

เช็ค 10 อาการปวดหลังแบบไหน ที่ควรไปพบแพทย์!

อาการปวดหลังแบบไหนที่คุณควรไปพบแพทย์ | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

ไม่ว่าเมื่อไหร่ จะกี่ยุคกี่สมัย เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะอาการปวดหลังซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย แม้บางครั้งอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการปวดหลังอาจกลายเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงบางอย่างที่คุณต้องระวัง การรับรู้และใส่ใจต่ออาการปวดหลังจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาในอนาคต

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

อาการปวดหลัง คืออะไร?

อาการปวดหลังเป็นอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายที่เกิดขึ้นบริเวณหลัง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะปวดหลังส่วนล่าง ส่วนกลาง อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป ท่าทางที่ไม่เหมาะสม ข้อกระดูกเสื่อม หรือการบาดเจ็บทางร่างกาย เป็นต้น

อาการปวดหลังมีกี่แบบ?

อาการปวดหลังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

1. อาการปวดหลังแบบเฉียบพลัน (Acute Back Pain)

อาการปวดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือกล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานหนัก โดยปกติอาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์

2. อาการปวดหลังแบบเรื้อรัง (Chronic Back Pain)

เป็นอาการปวดที่คงอยู่เป็นเวลานานกว่า 3 เดือน อาจเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก ข้อกระดูกเสื่อม หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง

วิธีแก้ปวดหลังเบื้องต้นด้วยตัวเอง | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

อาการปวดหลัง เกิดจากอะไร?

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามการบาดเจ็บหรือความผิดปกติของร่างกาย รวมถึงพฤติกรรมและโรคต่าง ๆ ดังนี้

  1. การบาดเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น (Muscle Strain or Sprain) การเคลื่อนไหวผิดท่า ยกของหนักเกินไป หรือนั่งท่าเดิมนาน ๆ สามารถทำให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณหลังเกิดการบาดเจ็บและอักเสบได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง
  2. หมอนรองกระดูกเคลื่อน (Herniated Disc) หมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังทำหน้าที่รองรับแรง เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดเคลื่อนหรือแตก อาจทำให้เกิดแรงกดทับต่อเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวจากหลังไปยังขาหรือสะโพก
  3. กระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative Disc Disease) เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกอาจเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นและไม่สามารถรองรับแรงกดได้เหมือนเดิม จนทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง
  4. กล้ามเนื้ออักเสบ (Muscle Inflammation) การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การยกของหนัก หรือการออกกำลังกายที่รุนแรงเกินไป สามารถทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและเกิดอาการปวดหลังได้
  5. ท่าทางไม่ถูกต้อง (Poor Posture) การนั่ง ยืน หรือเดินในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดแรงกดที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง ส่งผลให้อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้ พบบ่อยในอาการปวดหลังของพนักงานออฟฟิศ
  6. กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) กระดูกสันหลังที่คดผิดปกติทำให้ร่างกายไม่สามารถกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังรับแรงกดมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง
  7. โรคข้ออักเสบ (Arthritis) โรคข้ออักเสบหรือโรคข้อเสื่อมสามารถส่งผลให้เกิดการอักเสบในข้อต่อของกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดและความรู้สึกแข็งในบริเวณหลัง โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น
  8. การติดเชื้อหรืออักเสบที่กระดูกสันหลัง (Spinal Infections or Inflammation) การติดเชื้อบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น ไขกระดูกอักเสบ หรือกระดูกสันหลังติดเชื้อ สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรงได้
  9. ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภาวะกระดูกพรุนทำให้กระดูกสันหลังอ่อนแอและเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีการขาดแคลเซียม
  10. ความเครียดและความวิตกกังวล (Stress and Anxiety) อารมณ์และความเครียดสามารถส่งผลต่อการตึงตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลัง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ในระยะยาว
ปวดหลังเกิดจากอะไรบ้าง | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

อาการปวดหลังเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้ออักเสบหรือไม่?

คำตอบคือ ใช่ อาการปวดหลังส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้ออักเสบ (Muscle Strain) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดจากการเคลื่อนไหวผิดท่าหรือยกของหนัก เมื่อกล้ามเนื้อได้รับการบาดเจ็บหรืออักเสบ จะทำให้เกิดความเจ็บปวดและเกิดอาการตึงที่บริเวณหลัง ซึ่งอาจส่งผลให้เคลื่อนไหวตัวได้ยากขึ้น

อาการปวดหลังเกี่ยวข้องกับระบบประสาทยังไง?

อาการปวดหลังสามารถเกี่ยวข้องกับระบบประสาทได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น ในกรณีของหมอนรองกระดูกเคลื่อน ซึ่งจะกดทับเส้นประสาทสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาทควบคุม อาการปวดที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทมักมีลักษณะรุนแรงและเรื้อรัง และควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีแก้ปวดหลังด้วยตัวเองที่บ้าน

หากปวดหลังแต่ไม่มีอาการร้าวลงขา หรือร้าวไปจุดอื่น ๆ ถือว่ายังไม่น่าเป็นห่วง วิธีแก้ปวดหลังที่บ้านทำได้ด้วยการประคบร้อนและเย็น ร่วมด้วยการใช้มือกดนวดบริเวณที่ปวดเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น ยืดกล้ามเนื้อและทำท่ากายบริหาร และช่วงที่มีอาการปวดหลังไม่ควรนอนบนที่นอนที่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป 

อาการปวดหลังส่วนไหนอันตรายที่สุด?

อาการปวดหลังส่วนที่อันตรายที่สุดคือ การปวดหลังส่วนล่าง (Lower Back) หรือที่เรียกว่า “เอว” เนื่องจากเป็นจุดที่รับน้ำหนักมากที่สุด การปวดหลังส่วนล่างนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน (Herniated Disc) อาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา หรือในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดอาการชาและสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ

อาการปวดหลังที่เป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

10 อาการปวดหลังที่ควรไปพบแพทย์

อาการปวดหลังเป็นอาการที่หลายคนคงเคยเป็นบ่อย ๆ หากไม่รุนแรงก็สามารถบรรเทาและหายได้ด้วยตัวเอง และการปรับพฤติกรรม แต่หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์จะดีที่สุด

  1. อาการปวดที่รุนแรงและไม่ทุเลาลงหลังจากพักผ่อน
  2. อาการปวดร้าวลงขา โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกชา อ่อนแรง หรือไม่สามารถเดินได้ตามปกติ
  3. มีอาการปวดหลังร่วมกับไข้สูง
  4. อาการปวดหลังที่เกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุ เช่น ล้ม หรือได้รับบาดเจ็บจากการยกของหนัก
  5. มีอาการชาหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณขาหนีบ สะโพก หรือขา
  6. อาการปวดที่คงอยู่ต่อเนื่องนานเกิน 3 เดือน
  7. มีปัญหาในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ
  8. อาการปวดที่ทำให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัดหรือทำให้ไม่สามารถยืนหรือนั่งนาน ๆ ได้
  9. อาการปวดที่แย่ลงเมื่อทำกิจกรรม เช่น เดิน ยืน หรือยกของ
  10. รู้สึกว่าอาการปวดหลังเป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคข้อ หรือโรคไต

อาการปวดหลังอาจดูเหมือนเป็นปัญหาทั่วไป แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง หากมีอาการปวดหลังที่ไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม 

อาการปวดหลังที่เป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย!

อาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของสุขภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่ปัญหาของอวัยวะภายใน ไปจนถึงความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ ดังนี้

  1. ปวดหลังเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง อาการนี้อาจเกิดจากปัญหาของไตหรือถุงน้ำดี เช่น ไตอักเสบ หรือนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะไตติดเชื้อหรือไตวายได้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที
  2. ปวดท้องและปวดหลังเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง อาการนี้คล้ายกับข้อแรก แต่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย อาจเป็นอาการของกระเพาะอาหารอักเสบหรือลำไส้อักเสบ หากไม่แน่ใจควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
  3. ปวดบริเวณเอวและมีไข้หนาวสั่น อาการนี้อาจเป็นภาวะกรวยไตอักเสบเฉียบพลันจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นอกจากปวดหลังแล้ว ยังมีอาการปัสสาวะขัด แสบ ปัสสาวะขุ่น และมีไข้หนาวสั่น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาทันที เนื่องจากอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  4. อาการปวดหลังร่วมกับแขนขาชา ไม่มีแรง อาการนี้อาจเกิดจากภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการอักเสบ ส่วนใหญ่จะปวดหลังบริเวณเอวเป็น ๆ หาย ๆ และมีอาการชาร่วมด้วย หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น ขาไม่มีแรง การขับถ่ายมีปัญหา
  5. ปวดหลังเรื้อรัง อาการปวดหลังเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคอื่น ๆ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจทำให้กระดูกผิดรูปหรือมีอาการบาดเจ็บรุนแรงได้

อาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตัวเอง เช่น ยืดกล้ามเนื้อ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีแล้ว การทำประกันโรคร้ายเอาไว้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่อยากจะแนะนำ เพราะโรคร้ายนั้นบางโรคไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อเป็นแล้วอาจต้องเข้ารับการรักษากันอีกยาว ประกันโรคร้ายจะมาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ 

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)

คำจำกัดความ

หมอนรองกระดูก หมอนรองกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกาย มีความนิ่มและคั่นกลางอยู่ระหว่างปล้องกระดูกสันหลัง ทำให้หลังของเราสามารถก้มหน้าและหลัง หรือแอ่นไปมาได้นั่นเอง
ภาวะกระดูกพรุน เป็นโรคที่ความหนาแน่นและมวลกระดูกลดน้อยลง จนทำให้กระดูกเสื่อม เปราะบาง และผิดรูป ในบางกรณีกระดูกมีโอกาสแตกหรือหักได้ง่ายอีกด้วย