Roojai

เช็คอาการ-สัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือด พร้อมวิธีป้องกัน

สาเหตุและอาการของโรคหัวใจขาดเลือด | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

โรคหัวใจขาดเลือดเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและอาหารเปลี่ยนแปลงไป โรคนี้เกิดจากการอุดตันหรือตีบแคบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ สำหรับคนไทย ปัจจัยเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด และขาดการออกกำลังกาย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคนี้แพร่หลายมากขึ้น การป้องกันและรักษาโรคหัวใจขาดเลือดจึงเป็นเรื่องที่คนไทยควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคหัวใจขาดเลือด สาเหตุ อาการ การป้องกัน เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพหัวใจของตัวเองและคนที่รักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร?

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือ โรคหัวใจขาดเลือด เป็นภาวะที่หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจแคบลงหรืออุดตัน ทำให้หัวใจไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ หากปล่อยไว้อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือดจะช่วยให้คุณรับมือได้อย่างทันท่วงที

โรคหัวใจขาดเลือดเกิดจากอะไร?

สาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด หลัก ๆ มักเกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของแต่ละคน เช่น การสูบบุหรี่อย่างหนัก การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจนก่อให้เกิดภาวะไขมันในเลือดและความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมักพบในผู้ชายที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

อาการและสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือดมีอะไรบ้าง?

1. เจ็บหน้าอก

อาการเจ็บหน้าอกเป็นสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือดที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนมีแรงกด หรือบีบที่กลางอก บางรายอาจรู้สึกเจ็บลามไปที่แขน ซ้าย ขากรรไกร หรือคอ อาการเจ็บหน้าอกอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเกิดขึ้นเฉียบพลัน โดยเฉพาะขณะออกกำลังกายหรือเครียด

2. เหนื่อยง่าย

หากคุณรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น เดินขึ้นบันได หรือแม้แต่ทำงานเบา ๆ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ

3. หายใจลำบาก

อาการหายใจไม่อิ่ม เหมือนหายใจได้ไม่เต็มที่ มักเกิดร่วมกับอาการเจ็บหน้าอก เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือด

4. คลื่นไส้ อาเจียน หรือเหงื่อออกมาก

อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนโดยไม่มีสาเหตุ หรือเหงื่อออกมากเกินไปโดยเฉพาะที่ฝ่ามือ อาจเป็นสัญญาณเตือนของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้

5. ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

หัวใจเต้นเร็วหรือแรงผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบาก ถือเป็นอาการของโรคหัวใจขาดเลือดที่ไม่ควรมองข้าม

อาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด?

คนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมักมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยทางสุขภาพที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งกลุ่มเสี่ยงประกอบด้วย

  1. คนที่มีภาวะความดันโลหิตสูง – ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตัน ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจลดลง และเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการหัวใจขาดเลือด
  2. คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง – คอเลสเตอรอลที่สูง โดยเฉพาะ LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) จะสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและแคบลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
  3. ผู้ป่วยเบาหวาน – คนที่มีภาวะเบาหวานมักมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้ง่ายขึ้น
  4. คนที่สูบบุหรี่ – การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบตันและลดปริมาณออกซิเจนในเลือด ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น และเพิ่มโอกาสเกิดอาการหัวใจขาดเลือด
  5. คนที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน – การมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนจะเพิ่มภาระของหัวใจในการสูบฉีดเลือด และยังสัมพันธ์กับภาวะความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และเบาหวาน ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือด
  6. คนที่ไม่ออกกำลังกาย – การไม่ออกกำลังกายทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด
  7. คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ – หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่น้อง ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในตัวคุณจะสูงขึ้น
  8. ผู้สูงอายุ – อายุที่มากขึ้นทำให้หลอดเลือดมีโอกาสเสื่อมสภาพ และความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจขาดเลือดก็เพิ่มขึ้นตามมา โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 45 ปีในผู้ชาย และ 55 ปีในผู้หญิง
  9. คนที่มีความเครียดสูง – ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น หากสะสมเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด
  10. คนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำจะเพิ่มความดันโลหิต และนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีผลต่อสุขภาพหัวใจทั้งทางตรงและทางอ้อม การป้องกันและลดความเสี่ยงด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพประจำปี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้

มีวิธีรักษาโรคหัวใจขาดเลือดยังไง?

โรคหัวใจขาดเลือดเป็นสภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที วิธีรักษาโรคหัวใจขาดเลือดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง โดยมีแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ดังนี้

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม – เลิกสูบบุหรี่ ลด/เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดอาหารมัน เค็ม หวาน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  2. การใช้ยา – รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  3. การรักษาด้วยหัตถการ – การสวนหลอดเลือดหัวใจ และการใส่ขดลวด (Stent) เพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ
  4. การผ่าตัด – การผ่าตัดบายพาสหัวใจ หรือการต่อหลอดเลือดใหม่ให้กับเส้นเลือดหัวใจ (CABG) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ

นอกจากการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด การมีประกันที่คุ้มครองโรคเรื้อรังต่าง ๆ ก็สำคัญ ปรกันโรคร้ายแรงที่รู้ใจคุ้มครอง 4 กลุ่มโรคร้าย รวมโรคระบบหัวใจหลอดเลือด ซึ่งคุ้มครองทั้งกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่รักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นประกันแบบเจอจ่ายจบ คุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท

สัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือด | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดยังไง?

หลายคนคงเกิดคำถามว่าโรคหัวใจขาดเลือด รักษาหายไหม? คำตอบคือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นควรเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่ยังไม่เป็นโรค โดยมีวิธีป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด ดังนี้

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน – การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ เนื้อปลา และอาหารที่มีไขมันต่ำ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล และเกลือ
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – การออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับสุขภาพ เช่น เดิน วิ่งเบา ๆ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
  3. ควบคุมน้ำหนัก – การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ควบคุมปริมาณอาหารและออกกำลังกายเพื่อรักษาสมดุลของน้ำหนักตัว
  4. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ – การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
  5. ควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล – ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากพบว่ามีค่าที่สูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ

เคล็ดลับสุขภาพสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด

อาหารที่เหมาะสำหรับผู้อาการหัวใจขาดเลือดได้แก่ ปลาแซลมอนและปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ผักผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักโขมและแอปเปิ้ล และถั่วเปลือกแข็งที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง 

ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดควรออกกำลังกายยังไง?

ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดสามารถออกกำลังกายได้ แต่ต้องระมัดระวังและทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจ เพิ่มความแข็งแรงของระบบไหลเวียนเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหัวใจขาดเลือด แนวทางการออกกำลังกายที่แนะนำ ดังนี้

1. เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ควรเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น การเดินเบา ๆ 10-15 นาทีต่อวัน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเวลาและความเข้มข้นของการออกกำลังกายเมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น

2. เลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม

ควรเน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เบา ๆ และมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • การเดินเร็ว เป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและง่ายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ
  • การปั่นจักรยานเบา ๆ  ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการไหลเวียนของ     เลือด
  • การว่ายน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและลดภาระของข้อต่อ
  • การทำโยคะ เน้นการผ่อนคลายและปรับปรุงการหายใจ ช่วยลดความเครียดที่มีผลต่อหัวใจ
วิธีป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด | ประกันโรคร้ายแรง | รู้ใจ

3. ควบคุมความเข้มข้นของการออกกำลังกาย

ควรออกกำลังกายที่ระดับความเข้มข้นปานกลาง ไม่ควรหนักจนเกินไป ตัวชี้วัดความเหมาะสมคือสามารถพูดคุยระหว่างการออกกำลังกายได้โดยไม่หอบเหนื่อยมากเกินไป

4. เฝ้าระวังอาการผิดปกติ

หากระหว่างการออกกำลังกายรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก เวียนศีรษะ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรหยุดออกกำลังกายทันทีและปรึกษาแพทย์

5. อบอุ่นร่างกายและยืดกล้ามเนื้อ

ก่อนและหลังการออกกำลังกายควรอบอุ่นร่างกายด้วยการเดินเบาหรือยืดกล้ามเนื้อประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อและหัวใจให้พร้อม ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ละครั้งประมาณ 30 นาที การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและปรับตัวได้ดีขึ้น

7. ปรึกษาแพทย์เป็นประจำ

ก่อนเริ่มการออกกำลังกายหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และเพื่อให้แน่ใจว่าการออกกำลังกายจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเป็นสิ่งที่สามารถทำได้และเป็นประโยชน์ แต่ต้องอยู่ในกรอบของความปลอดภัย เลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม และเฝ้าระวังอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนได้

หลังจากรู้จักโรคหัวใจขาดเลือด สาเหตุ อาการ การป้องกัน ซึ่งเป็นภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ การสังเกตสัญญาณเตือนโรคหัวใจขาดเลือดและดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคนี้ได้ และสำหรับญาติของผู้ป่วย นอกจากเรียนรู้การดูแลแล้ว การเรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อหัวใจขาดเลือดก็สำคัญเช่นกัน

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)

คำจำกัดความ

คอเลสเตอรอลในเกณฑ์ปกติ คอเลสเตอรอลในเกณฑ์ปกติ หมายถึง ต้องน้อยกว่า 200 หากมากกว่า 200-239 จะเรียกว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง
LDL LDL คือไขมันที่ไม่ดี และมีโอกาสในการเกิดการสะสมของไขมันไม่ดีพวกนี้บริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็ง
อาหารโซเดียมสูง อาหารที่มีโซเดียมสูงมักจะมีปริมาณเกลือหรือสารปรุงรสที่มีโซเดียมมาก เช่น ขนมขบเคี้ยว อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง เป็นต้น ซึ่งการบริโภคโซเดียมในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ผ่าตัดบายพาสหัวใจ คือการผ่าตัดเพื่อสร้างทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตัน เพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น