Roojai

ทำไมต้องบริจาคเลือด? เปิด 8 ข้อดีต่อสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้

ประโยชน์ของการบริจาคเลือด | ประกันออนไลน์ |รู้ใจ

การทำบุญไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเสมอไป มีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถสร้างบุญกุศลและเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ได้หลากหลายวิธี หลายคนวางแผนที่จะมอบร่างกายนี้ให้เป็นอาจารย์ใหญ่หลังจากที่ตนเองไม่อยู่แล้ว บางคนเลือกที่จะบริจาคบางอวัยวะ เช่น ดวงตา ปอด หัวใจ ฯลฯ และในบางคนเลือกที่จะบริจาคเลือด การบริจาคเลือดเป็นการช่วยชีวิตคนอย่างเห็นได้ทันตา นอกจากการช่วยชีวิตคนได้แล้ว การบริจาคเลือดยังเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย วันนี้ รู้ใจเอาใจสายบุญที่ชอบบริจาคเลือดว่าส่งผลดีต่อร่างกายเราอย่างไร ใครบ้างที่ไม่ควรบริจาคเลือด และโรคอะไรบ้างที่ต้องระวังในการบริจาคเลือด 

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

การบริจาคเลือดคืออะไร?

การบริจาคเลือด คือ การสละเลือดส่วนเกินที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อมอบให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เลือด ซึ่งการบริจาคเลือดไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาคเลือด เพราะร่างกายของแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตอยู่ที่ 17-18 แก้วน้ำ ซึ่งร่างกายจะใช้จริงๆ เพียงแค่ 15-16 แก้วเท่านั้น ที่เหลือสามารถนำไปบริจาคให้ผู้อื่นได้ และสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน 

โลหิต 1 ถุง สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้กี่คน?

ในประเทศไทย ผู้ป่วยที่ต้องการรับเลือดอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตมีกว่า 23% และอีก 77% เป็นผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุและต้องทำการผ่าตัด ซึ่งในการผ่าตัดเคสดังกล่าวนี้อาจจำเป็นต้องใช้เลือดเป็นจำนวนมากและเร่งด่วน ในการบริจาคเลือดแต่ละครั้งจะสามารถแบ่งส่วนประกอบของเลือดได้ถึง 3 ส่วนด้วยกันในการช่วยเหลือชีวิตคน โดยเลือด 1 ถุง สามารถช่วยเหลือคนได้มากกว่า 3 คน และเลือดที่รับบริจาคมานั้น ยังสามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิตได้อีกหลายอย่าง ดังนี้ 

  • เกล็ดเลือด สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น ไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • เม็ดเลือดแดง สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางหรือธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ หรือผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากการผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ หรือภาวะตกเลือดจากการคลอดบุตร
  • พลาสมา สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยที่มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ และสามารถนำไปผลิตเป็นเซรุ่มเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้อีกด้วย
  • โรคฮีโมฟีเลย เอ อิมมูโนโกลบลิน (โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก) ใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง อัลบูมินไว้รักษาไฟไหม้น้ำร้อนลวก และโรคตับ

จะเห็นได้ว่า เลือดเพียง 1 ถุงนั้น สามารถนำไปทำประโยชน์ได้มากมาย ช่วยต่อชีวิตผู้คนได้หลายชีวิต แต่การบริจาคเลือดนั้นใช่ว่าทุกคนจะสามารถบริจาคได้ เรามาดูกันว่า คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือดควรเป็นอย่างไร และใครบ้างที่ไม่ควรบริจาคเลือด 

สถานการณ์การบริจาคเลือดในประเทศไทย | ประกันออนไลน์ | รู้ใจ

คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด

  1. ผู้ที่มีอายุ 17-70 ปี โดยในการบริจาคเลือดครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 60 ปี และในกรณีที่เป็นเยาวชนอายุ 17 ปี จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนการบริจาคเลือด
  2. น้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม
  3. ในวันที่เข้าบริจาคเลือด ผู้บริจาคต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการผิดปกติในร่างกายใด ๆ และต้องไม่มีอาการท้องเสีย

คนไทยบริจาคเลือด มาก-น้อยแค่ไหน?

จากสถิติการบริจาคโลหิตทั่วประเทศในปี 2566 พบว่า มีผู้บริจาคโลหิตทั้งหมด 1,606,743 คน

  • มีผู้บริจาคปีละ 1 ครั้ง ถึง 1,057,894 คน คิดเป็น 65.84%
  • มีผู้บริจาคปีละ 2 ครั้ง 19.48% และบริจาค 3 ครั้ง 9.71%
  • มีผู้บริจาคปีละ 4 ครั้งมีเพียง 73,770 คน หรือ 4.59% เท่านั้น
  • และผู้บริจาคมากกว่า 4 ครั้งต่อปีมีเพียง 0.37% เท่านั้น

โดยรองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้กล่าวว่า “ตลอดปี 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พยายามรณรงค์ให้ผู้บริจาคโลหิตมีการบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยบริจาคโลหิตเพิ่มปีละ 2-3 ครั้ง” แต่จากสถิติจะเห็นได้ว่า การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง ยังมีจำนวนน้อยมาก หากเราสามารถเพิ่มจำนวนผู้บริจาคในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น จะช่วยให้มีปริมาณโลหิตเพียงพอสำหรับผู้ป่วยตลอดทั้งปี ลดความเสี่ยงการขาดแคลนโลหิต และสร้างความมั่นใจให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศ

(ที่มา: thairath.co.th)

การมีสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็อยากได้ แต่การเป็นโรคร้ายหรืออุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งการบริจาคเลือดจะเป็น “การให้” ให้ในสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องใช้แต่กลับช่วยเหลือชีวิตของผู้คนได้มากมาย ดังนั้น ไม่ว่าจะบริจาคเลือดครั้งแรกหรือทำเป็นประจำ การบริจาคเลือดก็จะช่วยสถานการณ์ขาดแคลนเลือดของคนไทยได้ และนอกจากการมีเลือดเพียงพอ ค่ารักษาก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องใส่ใจ หมดห่วงได้หากทำประกันอุบัติเหตุที่รู้ใจ คุ้มครองค่ารักษา มีค่าชดเชยรายวัน เบี้ยเริ่มต้นแค่ปีละ 61 บาท

ใครบ้างที่ไม่ควรบริจาคเลือด?

สำหรับข้อห้ามบริจาคเลือด จะมีข้อจำกัดสำหรับคนที่ไม่ควรเข้ารับการบริจาคเลือก ดังต่อไปนี้

  1. ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร 
  2. ผู้หญิงหลังคลอด หรือเพิ่งแท้งลูก ให้เว้นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึงจะสามารถกลับมาบริจาคเลือดได้ 
  3. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น เปลี่ยนคู่นอนหลายคน ไม่มีการป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และไม่ได้ป้องกัน
  4. ผู้ที่มีประวัติการใช้สารเสพติด หรือผู้ที่เพิ่งพ้นโทษในระยะ 3 ปี ก่อนการบริจาคเลือด
  5. ผู้ที่เพิ่งรับการผ่าตัด ในระยะ 6 เดือนก่อนบริจาค
  6. ผู้ที่เพิ่งสักตามร่างกาย การเจาะร่างกาย ภายในระยะเวลา 4 เดือน ก่อนบริจาคเลือด
  7. ผู้ที่เข้าเขตชุมชนที่มีการระบาดของไข้มาลาเรีย ภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนการบริจาค
  8. ผู้ที่เป็นโควิด ไข้หวัด ไข้เลือดออก โรคชิคุนกุนยา ภายในระยะเวลา 1 เดือน ก่อนนการบริจาค
  9. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง
  10. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ค่าตัวบน 160 และตัวล่างสูงเกิน 100 (160/100) ร่วมกับอัตราการเต้นของหัวใจเร็วผิดปกติเกิน 100 ครั้ง/นาที
  11. ผู้ที่เพิ่งถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือรักษารากฟัน ต้องเว้นระยะเวลา 3 วันก่อนบริจาค
  12. ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น ยาแก้อักเสบ หรือยาแก้ปวดต่าง ๆ ต้องเว้น 7 วันก่อนการบริจาค

โรคอะไรบ้างที่ควรระวังในการบริจาคเลือด?

  1. โรคเบาหวาน 
  2. โรคความดันโลหิตสูง
  3. โรคไขมันในเลือดสูง 
  4. โรคไทยรอยด์
  5. โรคลมชัก
  6. โรคมะเร็งทุกชนิด (แม้จะรักษาหายแล้วก็ตาม)
  7. โรควัณโรค
  8. โรคหอบหืด
  9. โรคตับอักเสบ บีและซี (หากเป็นตับอักเสบ เอ จะสามารถบริจาคได้เมื่อรักษาหายแล้ว)
  10. โรคไข้หวัด ไข้เลือดออก และโรคชิคุนกุนยา
  11. โรคไข้ซิกา
  12. โรคไข้มาลาเรีย
  13. โรคโควิด

การบริจาคเลือดต้องเตรียมตัวยังไง?

ก่อนที่เราจะไปบริจาคเลือด การเตรียมพร้อมตัวเราเองเป็นสิ่งสำคัญ หลัก ๆ คือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ และยังมีการเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด ดังนี้

  • นอนหลับให้เพียงพอไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง
  • สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไม่คับ และสามารถถลกแขนเสื้อขึ้นได้ง่าย
  • ต้องมีสุขภาพแข็งแรง แต่หากอยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรคให้แจ้งแพทย์หรือพยาบาล ผู้ตรวจคัดกรองสุขภาพก่อนการบริจาคทุกครั้ง
  • รับประทานอาหารก่อนการบริจาคเลือด
  • เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ก่อนการมาบริจาคอย่างน้อย 6 ชั่วโมง 
  • ดื่มน้ำก่อนการบริจาคเลือด 30 นาที ในปริมาณ 3-4 แก้ว (จะเท่ากับปริมาณโลหิตที่เสียไป)
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการมาบริจาคอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน
  • งดการสูบบุหรี่ทั้งก่อนและหลังการบริจาค 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดสามารถฟอกโลหิตได้ดี 
ก่อนบริจาคเลือดต้องเตรียมตัวยังไง | ประกันออนไลน์ | รู้ใจ

ขั้นตอนการบริจาคเลือดควรทำอะไรบ้าง?

เมื่อเราไปที่ศูนย์บริจาคโลหิตหรือจุดลงทะเบียนบริจาคเลือดตามสถานที่ต่าง ๆ จะมีการเช็คประวัติ หากเคยบริจาคเลือดแล้วก็จะมีใบให้เราเช็คอาการและเซ็นรับรอง หากบริจาคเลือดครั้งแรกจะมีการทำประวัติก่อน จากนั้นจะให้ดื่มน้ำก่อนเริ่มบริจาคเลือด โดย

  1. นอนลงบนเตียงบริจาคเลือด สามารถเลือกได้ว่าอยากให้เจาะเลือดข้างซ้ายหรือขวา
  2. ระหว่างการให้เลือด ให้บีบลูกบอลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เลือดไหลได้สะดวก
  3. ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น ชา เจ็บผิดปกติ หรือจะเป็นลมให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
  4. เมื่อถอดเข็มออก ห้ามลุกทันที ควรนั่งพักก่อน และหากมีอาการผิดปกติควรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

หลังการบริจาคเลือดควรทำยังไง?

หลังบริจาคเลือด ควรนอนพักก่อนประมาณ 5 นาที และค่อย ๆ ลุก ห้ามลุกทันที หากมีอาการผิดปกติ เช่น หน้ามืด วิงเวียน หรือรู้สึกผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที และการฟื้นฟูร่างกายหลังบริจาคเลือดควรทำดังนี้

  • ดื่มน้ำให้มากกว่าปริมาณที่เคยดื่มปกติเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
  • รับประทานยาเสริมธาตุเหล็กวันละ 1 เม็ด เพื่อชดเชยธาตุเหล็กที่เสียไป 
  • เลี่ยงการขึ้น-ลงที่สูง เพราะอาจทำให้วิงเวียนศีรษะหรือเป็นลมได้
  • เลี่ยงการใช้แขนข้างที่บริจาคเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
  • เลี่ยงการเดินทางไปในบริเวณที่มีผู้คนแออัด และอากาศร้อนอบอ้าว
  • งดกิจกรรมและงานที่มีความเกี่ยวข้องกับความสูง ความเร็ว ความลึก หรือเครื่องจักรกล
  • งดการออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
8 ข้อดีของการบริจาคเลือด | ประกันออนไลน์ | รู้ใจ

8 ข้อดีของการบริจาคเลือดมีอะไรบ้าง?

การบริจาคเลือดต่างก็มีข้อดีหลาย ๆ อย่างต่อร่างกายและสุขภาพของเรา นอกจากการที่เราจะนำเลือดในส่วนที่ร่างกายไม่ได้ใช้งาน ไปช่วยชีวิตคนอื่น ๆ ได้ ยังมีประโยชน์ ดังนี้

  1. ร่างกายแข็งแรง เพราะเลือดที่บริจาคไปจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แถมยังทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
  2. ผิวพรรณสดใส การบริจาคเลือดจะทำให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง หน้าตาสดใส เพราะเลือดได้มีการหมุนเวียนได้ดีในร่างกายจึงส่งผลที่ดีต่อผิวพรรณด้วย
  3. ช่วยทำให้ห่างไกลโรคมะเร็ง จากผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่บริจาคเลือดมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืน หรือมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคต่างๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยบริจาคเลย และนอกจากนี้การบริจาคเลือดยังช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งคอหอย
  4. ทำให้จิตใจดี ได้บุญ การบริจาคเลือดก็เหมือนกับการได้ช่วยชีวิตคน สิ่งนี้ส่งผลต่อจิตใจของผู้บริจาค ทำให้รู้สึกสุขใจ 
  5. ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแดงตีบ จากการวิจัยพบว่า การเจาะเลือดออกเป็นประจำ จะช่วยลดความดันโลหิต และสามารถช่วยลดระดับน้ำตาล และยังช่วยให้สัดส่วนของไขมันดีต่อไขมันที่ไม่ดี ดีขึ้นอีกด้วย 
  6. เป็นการตรวจสุขภาพไปในตัว เพราะการบริจาคเลือดสามารถทำได้ทุกๆ  3 เดือน เช่น การวัดความดัน การตรวจภาวะโลหิตจาง
  7. ได้รับการตรวจสารเคมีในเลือด โดยจะมีบริการตรวจใหัปีละ 1 ครั้ง ผู้บริจาคสามารถแจ้งแพทย์หรือพยาบาลผู้ตรวจความดันได้เลย โดยต้องงดอาหารและน้ำหลัง 20.00 น. มาก่อนด้วย
  8. ทำให้ทราบหมู่เลือด Rh ของตัวเอง เพราะโดยปกติแล้ว คนส่วนใหญ่จะทราบหมู่เลือดเฉพาะ ABO เท่านั้น 

รู้แบบนี้แล้ว ใครที่มีสุขภาพแข็งแรงและอยากจะทำบุญในอีกรูปแบบหนึ่ง การบริจาคเลือดเป็นการให้ที่เห็นผลได้ทันที เพราะมันจะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยอุบัติเหตุหรือป่วยโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องใช้เลือดจำนวนมากให้ดีขึ้นได้ และยังเป็นการตรวจสุขภาพของตัวเองได้ด้วย ดังนั้นหากใครสนใจอยากจะบริจาคเลือดแต่ยังไม่แน่ใจในสุขภาพของตัวเอง สามารถโทรสอบถามสภากาชาดไทยได้ที่เบอร์ 1664 

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)

คำจำกัดความ

พลาสมา พลาสมาหรือน้ำเหลือง เป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของเลือก และเป็นของเหลวที่อุดมไปด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่ในการทำให้เลือดแข็งใตัว หากพลาสมาผิดปกติ อาจก่อให้เกิดโรคฮีโมฟีเลีย หรือโรคเลือดออกง่ายหยุดยากได้
หมู่เลือด Rh เป็นหมู่เลือดที่มีความสำคัญ มันถูกกำหนดโดยสารแอนติเจนที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง คือสาร D โดยคนที่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง ก็จะเป็นหมู่เลือด Rh+ ส่วนคนที่ไม่มีสาร D อยู่ก็จะเป็นหมู่เลือด Rh- ซึ่งพบได้น้อยในคนไทย