หนึ่งในปัญหาและความกังวลของคนที่รักรถนั่นก็คือ กลัวว่ารถยนต์สุดรักจะมีริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนจากการใช้งาน รอยเบียด รอยขนแมว หรือรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นั่นทำให้เจ้าของรถต้องจิตตกและกังวลอยู่ไม่น้อย แถมยังต้องเสียเวลาไปซ่อมทำสีรถใหม่อีก
วันนี้ Roojai.com ประกันรถยนต์ออนไลน์รูปแบบใหม่ สามารถเลือกราคาเบี้ยประกันรถยนต์ได้เองผ่านเว็บไซต์ มีเรื่องราวดี ๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคย ซึ่งปัญหารถเป็นรอยมีวิธีป้องกันที่อยากจะแนะนำคือการนำรถไปเคลือบแก้วนั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับการเคลือบแก้วรถยนต์กัน
การเคลือบแก้วรถยนต์ (Glass Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีรถยนต์ สภาพเหมือนกับกระจกเงาใสที่มีความแข็งและหนา บนชั้นของ Clear Lacquer (ชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน) เหนือชั้นสีของตัวรถ ซึ่งระดับความหนาของชั้นเคลือบจะมีระดับที่แตกต่างกัน โดยมีหลายระดับราคาและคุณภาพ (ตั้งแต่ 1 – 9 H) รวมถึงการให้บริการของแต่ละร้านอีกด้วย ซึ่งในสารเคลือบแก้วจะมีส่วนผสมของซิลิกา หรือ SI ที่เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารสำคัญที่ทำให้สารเคลือบแก้วมีความแข็งแรง ไม่บดบังและหักเหแสง ทำให้สีรถไม่เปลี่ยน ยังคงสีเดิมทำให้ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา
ประโยชน์ของการเคลือบแก้ว คือป้องกันรถจากรอยขนแมว สะเก็ดหิน กิ่งไม้เกี่ยว และรอยขีดข่วนได้มากกว่าชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน รวมทั้งลดการเกิดรอยด่างบนสีตัวถังรถที่เกิดจากคราบต่าง ๆ ทำให้ตัวถังรถยังมีความสดใสและเงางามอยู่เสมอ
เคลือบแก้วต่างจากเคลือบสีรถธรรมดาตรงไหน? อธิบายง่าย ๆ ว่า การเคลือบสีปกติจะเป็นการเคลือบสีระยะสั้น เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีก็จะเริ่มซีดจาง ชั้นผิวจะบางและป้องกันรอยขีดข่วนได้น้อย แต่ถ้าเป็นเคลือบแก้ว ชั้นของผิวเคลือบจะหนาและแข็งกว่า ป้องกันรอยขีดข่วนและรักษาสภาพชั้นสีตัวถังได้ดีกว่า รวมทั้งมีความแวววาวมากกว่า และแน่นอนว่าเคลือบแก้วรถยนต์ย่อมมีราคาที่สูงกว่าอยู่พอสมควร
โดยการทำเคลือบแก้วนั้น ไม่ได้วัดกันที่ความหนาของการเคลือบว่าหนากี่ไมครอน (Micron) ตามที่เข้าใจกันมา เพราะที่จริงแล้วจะพิจารณาจากความแข็งแกร่งของสารที่นำมาใช้เคลือบแก้วเป็นหลัก รวมทั้งต้องดูคุณสมบัติเกี่ยวกับการปกป้องสีจริงของรถที่ออกมาจากโรงงานว่า สารที่ใช้เคลือบนั้นสามารถป้องกันสีจากแสงแดดได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สารเคลือบชั้นผิวทั่วไป ที่ต้องถามเยอะ เพราะราคาค่าเคลือบแก้วรถยนต์โดยทั่วไปมีราคาหลักหมื่น เมื่อจ่ายเงินแล้วควรได้การป้องกันและความคุ้มค่ากลับมาด้วย
การเคลือบแก้วรถยนต์มีกี่แบบ? หากแบ่งตามเทคนิคและวิธีการเคลือบแก้ว จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
- การเคลือบแก้วแบบทา เป็นวิธีการเคลือบแบบดั้งเดิม ที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน ก่อนการทาสารเคลือบแก้ว ต้องมีการปรับผิวสีรถให้พร้อมก่อนการลงสารเคลือบ ทำให้วิธีแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะต้องทาสารเคลือบแก้วให้ทั่วพื้นผิวตัวถังรถยนต์ ต้องไม่บางและไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้เกิดการยึดติดผิวสีและมีความหนาที่เหมาะสม
- การเคลือบแก้วแบบพ่น เป็นการเคลือบแก้วที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากแผนกพ่นสีรถยนต์ในโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งมีวิธีการพ่นเช่นเดียวกับการพ่นสีรถยนต์ ทำให้สารเคลือบกระจายตัวไปบนพื้นผิวรถได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม มีการระเหยได้รวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเช็ดของเหลวออก ซึ่งวิธีการเคลือบแบบนี้จะทำให้เกิดความคงทน มีความเงางาม สีตัวถังรถดูฉ่ำตลอดเวลา เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานในการเคลือบแก้วรถยนต์มากที่สุด
เคลือบแก้ว ราคาเท่าไร? ราคาของการเคลือบแก้วรถยนต์มีหลายราคาตั้งแต่หลักพันไปถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้เคลือบ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายเกรดอีกเช่นกัน ถ้าจะแบ่งกลุ่มและราคาคงจะต้องอ่านกันตาแฉะ เอาเป็นว่าขอสรุปเอาไว้คร่าว ๆ อ้างอิงตามคุณภาพระดับมาตรฐานแล้วกัน
ราคาเคลือบสีรถ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)
ขนาดตัวถังรถ | ราคา (บาท) |
---|---|
S M L | 300-700 |
XL XXL | 500-900 |
ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)
ขนาดตัวถังรถ | ราคา (บาท) |
---|---|
S | 15,000-30,000 |
M | 20,000-35,000 |
L | 25,000-40,000 |
XL | 30,000-40,000 |
XXL | 30,000-45,000 |
ทีนี้จะเห็นว่าราคามีความแตกต่างกัน เจ้าไหนราคาถูกหรือแพงเกินไป ต้องดูที่ความน่าเชื่อถือกันอีกด้วย ตอนนี้ไม่ยาก ลองค้นหาใน Google ก็จะมีชื่อศูนย์เคลือบแก้วขึ้นมามากมาย ควรเลือกศูนย์ที่มีชื่อเสียง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งตรงนี้เช็คได้ไม่ยาก รวมทั้งต้องดูบริการหลังการขายควบคู่กันไปด้วย เพราะหากมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว จำเป็นจะต้องกลับไปแก้ไขที่ศูนย์เดิมที่ให้บริการ เนื่องจากถ้าเปลี่ยนร้าน ตัวน้ำยาที่ใช้อาจจะเป็นคนละยี่ห้อ จะทำให้สารเคลือบตัวถังรถมีปัญหาได้
โดยปกติแล้วราคาของการเคลือบแก้วจะมีราคาที่สูงกว่าการเคลือบสีธรรมดา เพราะการเคลือบแก้วจะมีรายละเอียดและขั้นตอนการทำมากกว่า ต้นทุนสูงกว่า ทำให้เป็นข้อสังเกตว่าถ้าราคาเคลือบแก้วสูงกว่าเคลือบแบบธรรมดาเพียงเล็กน้อย มีโอกาสที่จะได้รับการเคลือบที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นได้ นอกจากนี้ เมื่อเคลือบแก้วรถยนต์แต่ละครั้ง จำเป็นจะต้องนำรถไปบำรุงรักษาทุก 6 เดือน จึงควรดูเรื่องของระยะเวลาการรับประกันเอาไว้ด้วย เพราะจะเป็นการการันตีคุณภาพของศูนย์ว่ามีคุณภาพและมาตรฐานการบริการเพียงใด
ทิ้งท้ายเอาไว้อีกสักนิด เผื่อคุณลูกค้าจะนำรถไปเคลือบแก้ว ต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษาเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่ยาก เพียงแค่ล้างรถตามปกติ สามารถลงแว็กซ์เคลือบเงาได้ตามปกติ แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงการขัดสีรถด้วยเครื่องขัดสีรถแบบรอบสูงหรือการขัดด้วยน้ำยาขัดสีรถแบบที่มีส่วนผสมของผงขัด หรือ Compound เพราะจะทำให้สารที่เคลือบอยู่หลุดออกมาได้ด้วยเช่นกัน
และเพื่อความอุ่นใจ หากรถคุณเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ จนทำให้เกิดรอยความเสียหายบนรถที่คุณรัก Roojai.com ประกันรถออนไลน์แนะนำว่า คุณควรหาประกันดี ๆ ไว้ดูแล และพร้อมช่วยเหลือคุณ 24 ชม.