สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับงานงานมอเตอร์โชว์ในทุกๆ ปี คือบริษัทรถยนต์ต่างนำสุดยอดยนตรกรรมทั้งในแบบคอนเซปต์หรือรถรุ่นใหม่ๆ มาร่วมอวดโฉม เสมือนเป็นไฮไลต์เพื่อดึงดูดความน่าสนใจแก่ผู้เข้าชมงาน โดยงานปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 38 ภายใต้แนวคิด ‘REACH TO THE PLANET OF TECHNOLOGY – พุ่งทะยานสู่โลกแห่งเทคโนโลยียานยนต์’ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ของเทคโนโลยีแห่งนวัตกรรมยานยนต์ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะไปเจาะลึกว่างานนี้ แต่ละค่ายมีจัดทัพอะไรเด็ดๆ น่าสนใจมาให้ได้ยลโฉมกันบ้าง
1.TOYOTA FCV Plus Concept
คอนเซปต์คาร์พลังงานทางเลือกในรูปแบบ Fuel-Cell พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด การร่วมเป็นหนึ่งของสังคมยุคอนาคต มาพร้อมรูปทรงขนาดกะทัดรัดแบบ 2+2 ที่นั่ง เน้นความสะดวกและขับใช้งานได้คล่องตัว ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากกระแสไฟฟ้าโดยใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้น ซึ่งทำปฏิกิริยาทางเคมีใน Cell Stack ที่ติดตั้งอยู่ระหว่างล้อคู่หน้า โดยมีถังไฮโดรเจนแรงดันสูงติดตั้งไว้ด้านหลังเบาะผู้โดยสาร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าถูกติดตั้งแยกไว้แต่ละล้อ สำหรับใช้งานในแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนจาก Eco-Car ไปสู่ Energy-Car ด้วยระบบเชื่อมต่อต่อเข้ากับกริด (Vehicle-to-Grid) เมื่อไม่ได้ใช้งานในรูปแบบยานพาหนะ โดยสามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้ เมื่อต่อพ่วงกับอุปกรณ์กักเก็บไฮโดรเจนภายนอก เพื่อใช้เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าให้กับครัวเรือน หรือเมื่อใช้ต่อพ่วงกันเป็นกลุ่มก็สามารถเชื่อมต่อกับกริดไฟฟ้าให้กับแหล่งชุมชนได้ (Power Sharing)
2. Nissan Solid Oxide Fuel Cell-SOFC
ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์แข็ง (Solid Oxide Fuel Cell-SOFC) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเชื้อเพลิงเอทานอลชีวภาพ (Bio-Ethanol Electric Power) นับเป็นครั้งแรกของโลกที่ผู้ผลิตรถยนต์นำระบบนี้มาใช้ มีจุดเด่นคือระบบ e-Bio Fuel-Cell ที่มาพร้อมกับตัวสร้างพลังงานแบบ SOFC มีแนวคิดการออกแบบ 3 ประการ คือ ประสิทธิภาพในการใช้งานที่สามารถขับเคลื่อนได้ไกลขึ้น จัดหาง่ายด้วยต้นทุนเชื้อเพลิงราคาต่ำ และเป็นพลังงานสะอาด เนื่องจากไม่มีการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศ
e-Bio Fuel-Cell สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าผ่านทางเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์แข็ง SOFC ด้วยการใช้เอทานอลแบบชีวภาพที่ถูกเก็บไว้ในถังเชื้อเพลิง หลักการทำงานเหมือนกับเซลล์เชื้อเพลิง แต่การผลิตไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนนั้น โดยการนำเอทานอลชีวภาพ มาสกัดและแปรรูปผ่านทางอุปกรณ์ที่เรียกว่า Reformer จากนั้นจึงปล่อยไฮโดรเจนเข้ามาทำปฏิกิริยา เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าและส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน
จากการทดสอบวิ่งด้วยความเร็วคง รถยนต์ที่ใช้ระบบนี้มีระยะทางการขับใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำได้ ต่อการใช้น้ำมัน 1 ถัง (มากกว่า 600 กิโลเมตร) ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์แบบ e-Bio Fuel-Cell ยังมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
3.MitsubishI MiEV Evolution III
รถแข่งพลังงานไฟฟ้าเจเนอเรชั่น 3 ที่ผนวกเทคโนโลยีรถพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมลงแข่งรายการ Pikes Peak International Hill Climb ในรัฐโคโลราโดของสหรัฐอเมริกา โดยเป้าหมายสำคัญเพื่อต้องการคว้าชัยชนะอันดับ 1 จากการแข่งขันประเภทรถพลังงานไฟฟ้าดัดแปลง 1 (Electric Modified Division 1)
MiEV Evolution III แตกต่างจาก MiEV Evolution II ซึ่งเป็นรถแข่งที่มิตซูบิชิส่งเข้าร่วมการ ไพค์ พีค ในปี 2016 หลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนแชสซีส์มาใช้เหล็กน้ำหนักเบา, มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังขับสูงขึ้นจาก 400 กิโลวัตต์ เป็น 450 กิโลวัตต์ ขนาดยางกว้างขึ้นเป็น 330/680-18 เพื่อถ่ายทอดกำลังลงพื้นให้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการ์ดบังลมด้านหน้า ทำจากวัสดุคาร์บอนแบบใหม่ ทำงานร่วมกับสปอยเลอร์เพื่อรีดลม มาพร้อมกับระบบควบคุม Super All Wheel Control (S-AWC) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและลดการลื่นไถลของล้อหลัง ที่ผสมผสานกับระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Dynamic Controls) นำไปสู่การขับที่มั่นใจมากขึ้น
4.Aston Martin Vanquish S
New Vanquish S เปิดตัวครั้งแรกของเอเชียแปซิฟิกในงานนี้ หลังจากเผยโฉมครั้งแรกในโลกที่ Geneva Motor show ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดย Vanquish S ตอกย้ำความเร้าใจกับดีไซน์แบบใหม่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยการติดตั้งชุด Front Splitter และ Rear Diffuser ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อช่วยเสริมสมรรถนะในการขับช่วงความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง สะดุดตายิ่งขึ้นกับห้องโดยสารที่สะท้อนความเหนือระดับ ด้วยงานปักแบบ Filograph ให้ความสุนทรีภาพตลอดการเดินทางด้วยเครื่องเสียง Bang & Olufsen สุดหรู พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ และระบบนำทางรุ่นใหม่ล่าสุด
เร้าใจในทุกช่วงการขับด้วยเครื่องยนต์แบบ V12 ที่ปรับปรุงใหม่ รีดพละกำลังได้ 580 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุด 323 กม./ชม. และเร่งจาก 0-100 ในเวลา 3.5 วินาที ผสานกับชุดเกียร์ Touch Tronic III แบบ 8 จังหวะ
5.Audi Q5
ยนตรกรรมเอสยูวีแบบสปอร์ตรุ่นใหม่ เผยโฉมครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่งานนี้ รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบให้แนวเส้นหลังคาดูลื่นไหล จากด้านหน้าลาดยาวจรดยังท้ายรถ โดดเด่นด้วยไฟหน้า-ไฟท้าย LED พร้อมไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ Dynamic Light ตอบโจทย์การใช้งานอย่างอเนกประสงค์ ด้วยมีมิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น แต่มีน้ำหนักเบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้า 90 กก. กรัม นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังมีพื้นที่บรรจุสัมภาระถึง 620 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,550 ลิตร เมื่อพับเบาหลัง ปราดเปรียวและมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แบบ Quattro อันเลื่องชื่อของ Audi ตอบโจทย์ทุกความต้องการกับฟังก์ชันเลือกโหมดการขับ Audi Drive Select ที่จะปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์และระบบกันสะเทือนตามความต้องการของผู้ขับ
6.BMW M760Li xDrive Model V12 Excellence
รูปลักษณ์ภายนอกสะท้อนความพรีเมียมอย่างลงตัว ด้วยแถบโครเมียมพาดยาวตลอดช่วงหน้าของช่องดักอากาศ ส่วนกระจังหน้าไตสีเงินที่ล้อมกรอบด้วยโครเมียมสว่าง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายละเอียดของจุดต่างๆ ของตัวรถ ที่ตกแต่งด้วยโครเมียมสว่างเช่นกัน พร้อมประทับสัญลักษณ์ ‘V12’ บริเวณขอบฝากระโปรงท้าย ห้องโดยสารตกแต่งอย่างหรูหราด้วยไม้บริเวณพวงมาลัย และตัวอักษร V12 ที่จะปรากฏขึ้นบนหน้าปัดรถ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ขอบประตูรถตกแต่งด้วยโลโก้ V12 เรืองแสง หน้าจอ Touch Command Panel บริเวณที่วางแขนของห้องผู้โดยสารด้านหลัง
ขุมพลังใหม่ล่าสุด M Performance TwinPower Turbo 12 สูบ 6.6 ลิตร 610 แรงม้า ที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตรที่ 1,550-5,000 รอบ/นาที เร่งจาก 0-100 กม. ในเวลา 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ผสานระบบเกียร์ 8 จังหวะ Steptronic Sport ซึ่งถูกปรับแต่งตามคุณลักษณะของเครื่องยนต์ V12 โดยเฉพาะ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 8.2 กม./ลิตร ระบบกันสะเทือนนวัตกรรม Executive Drive Pro มอบความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วยระบบการรักษาเสถียรภาพรถแบบ Active roll ลดการสะเทือนของตัวรถให้น้อยที่สุด ชุดเบรก M Sport ใหม่ สะดุดตาด้วยคาลิเปอร์สีน้ำเงินเมทัลลิค ติดตราอักษร M ภายใต้ล้อแม็ก W-Spoke 20 นิ้ว
7.HONDA Civic Hatchback Turbo
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สร้างความฮือฮาได้พอสมควร โดยต่อยอดความสำเร็จจากฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชั่นที่ 10 ซึ่ง Civic Hatchback Turbo ให้ภาพลักษณ์ที่ดุดันขึ้นด้วยกระจังหน้า-หลังแบบรังผึ้ง ไฟหน้าดีไซน์สปอร์ตพร้อมเดย์ไทม์แบบ LED ไฟท้ายดีไซน์ทรงตัว C และโดดเด่นอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยด้านท้ายลาดลงสไตล์แฮตช์แบ็ก 5 ประตู สำหรับห้องโดยสารให้ความอเนกประสงค์ ด้วยพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายซึ่งจุได้ถึง 414 ลิตร โดยเบาะหลังสามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 นอกจากนี้ยังติดตั้งม่านปิดสัมภาระ ซึ่งสามารถเลือกปิดเก็บได้ทั้งซ้ายหรือขวา เพื่อป้องกันการมองเห็นสัมภาระ
ทำตลาดด้วยเครื่องยนต์บล็อกเดียว 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ผสานระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 5,500 รอบ/นาที
8.Lamborghini Huracan Performante V10
เผยโฉมเป็นครั้งแรกในไทย มาพร้อมเครื่องยนต์ V10 สูบ 5.2 ลิตร (ไม่มีระบบอัดอากาศเหมือนกับ Huracan รุ่นสแตนดาร์ด) อัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 631 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร (มากกว่าเดิม 30 แรงม้า และ 40 นิวตัน-เมตร) เร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.9 วินาทีเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ใน 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. พร้อมปรับปรุงระบบเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตช์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่นเดียวกับระบบช่วงล่างถูกเซ็ตใหม่ให้แน่นหนึบยิ่งขึ้น ส่วนตัวถังใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิท มีระบบแอโรไดนามิกแบบแอคทีพอย่างสปอยเลอร์หน้า ฝากระโปรงเครื่องยนต์ แผงกันชนหลังพร้อมดิฟฟิวเซอร์ซึ่งมีครีบ สามารถเปิด-ปิดหักเหกระแสลมได้ตลอดเวลา
9.MAZDA MX-5 RF
สปอร์ตโรดสเตอร์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเปิดประทุนแบบหลังคาแข็ง โดย RF ย่อมาจาก Retractable Fastback หลังคาเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าใช้เวลาเพียง 13 วินาที (ส่วนขณะขับต้องมีความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม.) การทำงานส่วนหลังคาด้านหลังจะยกตัวขึ้น และหลังคาส่วนกลางจะพับเก็บลอดเข้าไป ส่วนพื้นที่จัดเก็บสัมภาระมีความกว้างขวางเหมือนกับรุ่นซอฟต์ท็อป ด้านรายละเอียดภายในห้องโดยสารมีดีไซน์ไม่แตกต่างไปจาก Mazda MX-5 Roadster แต่เพิ่มความเหนือระดับกับเบาะที่หุ้มด้วยหนัง Nappa สีน้ำตาล Auburn ซึ่งให้ผิวสัมผัสอ่อนนุ่ม
10.Mercedes-Benz The new E-Class Coupé
เปิดตัวครั้งแรกบนแผ่นดินไทยในงานนี้ โดย The new E-Class Coupé ใช้พื้นฐานจากซีดานตระกูล E-Class ได้รับการปรับโฉมรูปลักษณ์ให้ดูเร้าใจขึ้น มาพร้อมขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ฐานล้อกว้าง 113.1 นิ้ว ยาว 190 นิ้ว กว้าง 73.2 นิ้ว และสูง 56.3 นิ้ว ทำให้มีพื้นที่วางขาด้านหลัง หมอนรองศีรษะด้านหลัง และความกว้างของเบาะทั้งด้านหน้า-หลังเพิ่มมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารผสมผสานระหว่างความโฉบเฉี่ยวของรถสปอร์ต และความเรียบหรูในแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดดเด่นด้วยเบาะหนังแบบเดี่ยวจำนวน 4 ที่นั่ง มาพร้อมกับชุดหน้าจอความละเอียดสูง COMAND® ขนาด 12.3 นิ้ว เลือกหน้าจอได้ 3 แบบ Classic, Sport และ Progressive นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มสุนทรียภาพของการเดินทางด้วยระบบไฟในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี
มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,991 ซีซี เทอร์โบคู่ ผสานระบบเกียร์อัตโนมัติชุดใหม่ 9G-TRONIC ช่วยให้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
11.Rolls-Royce Wraith Black Badge
ยนตรกรรมสุดหรูรุ่นพิเศษ ‘เรธ แบล็คแบจ’ (Wraith Black Badge) เปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรกในไทยและแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยรูปทรงแบบคูเป้สุดพรีเมียม ที่ผสมผสานงานดีไซน์และการเลือกใช้วัสดุต่างๆ ที่เป็นที่สุดของแต่ละด้าน
สะท้อนความเป็นยนตรกรรมระดับพรีเมียมด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์โมเดิร์น ฝากระโปรงยาวและห้องโดยสารด้านหลังกว้าง พร้อม Spirit of Ecstasy โครเมียมสีดำเป็นประกายทอดเงาอยู่เหนือกระจังหน้าอันทรงพลัง สะกดทุกสายตาด้วยช่องลม คิ้วฝากระโปรงหลัง และท่อไอเสียคู่ชุบโครเมียมสีดำ พร้อมด้วยตรา Rolls-Royce สีดำเช่นกัน ภายในเน้นการใช้วัสดุพรีเมียมทั้งคาร์บอนไฟเบอร์ และอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในการสร้างยานอวกาศ น้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่งมหาศาล ชุดเครื่องเสียงที่มาพร้อมขุมพลังสูงถึง 1,300 วัตต์ เบานั่งและงานตัดเย็บหนังที่มีคุณภาพสูงสุด
ขุมพลัง V12 สูบ 6.6 ลิตร 624 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 870 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 8 จังหวะ เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที พุ่งทะยานอย่างเร้าใจด้วยเทคโนโลยี Intuitive Throttle Response ช่วยให้ลากเกียร์ได้นานขึ้นและเร่งเครื่องได้เร็วขึ้น
12.Chevrolet High Country STORM
สะดุดตาและทรงพลังด้วยชุดแต่ง ‘สตอร์ม’ พัฒนาบนพื้นฐานของกระบะรุ่นโคโลราโด ไฮคันทรี โดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสีดำทุกชิ้น พร้อมสปอร์ตบาร์ และล้อแม็กสีดำขนาด 18 นิ้ว และเพิ่มความน่าสนใจกับสีตัวถังใหม่ Blue Me Away น้ำเงินเมทัลลิก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ดีเซล เทอร์โบ 2.5 ลิตร 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำ 2,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 รุ่นนี้ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อ
13.Subaru The All-New IMPREZA
Subaru The All-New IMPREZA รถยนต์รุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นภายใต้ ‘ซูบารุ โกลบอล แพลทฟอร์ม’ (Subaru Global Platform) นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานความสะดวกสบายในการขับ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของตัวรถ มิติตัวถังดูกว้างและยาวขึ้น แต่ต่ำลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรีดอากาศได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับการออกแบบเส้นสายข้างรถที่ให้ความปราดเปรียว โดยแพลตฟอร์มใหม่มีความแข็งแรงมากขึ้นถึง 70-100% สามารถลดการบิดตัวลง 50%
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน Boxer 2.0 ลิตร Direct Injection 152 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ Linear CVT รุ่นใหม่ ระบบช่วงล่าง Symmetrical All-Wheel Drive อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานเทคโนโลยี Active Torque Vectoring (ATV) ที่สามารถกระจายกำลังระหว่างล้อซ้าย-ขวา ด้วยจับเบรกในจังหวะเมื่อมีการกดคันเร่ง ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ Vehicle Dynamic Control (VDC) และ Traction Control (TRC)
อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัย โดยซูบารุได้บรรจุ Subaru Eyesight ที่ประกอบด้วยระบบป้องกันการชนทางด้านหน้า, ระบบเตือนการหลุดออกจากเลน, ระบบเตือนในกรณีรถแกว่ง Sway Warning, ระบบช่วยบังคับการขับให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping Assisted รวมไปถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
โดยรวมมอเตอร์โชว์ปีนี้ค่อนข้างมีรถใหม่ที่น่าสนใจให้ติดตามกันมากทีเดียว และหากคุณมีรถใหม่หรือถ้าคุณเป็นคนที่รักรถเต็มหัวใจ ต้องให้ “รู้ใจ” ดูแลรถให้คุณ ช่วยเหลือผ่อน 0% สบายๆ ยาว 10 เดือนแบบไม่บล็อควงเงินบัตร คลิก เช็คเบี้ยประกัน หรือโทร 02 582 8888