มีรถมากกว่าการใช้งานจริง ต้องจอดทิ้งไว้นาน ๆ แต่ก็อยากวางใจได้เสมอในตอนที่จะขับขี่ จะเป็นจริงได้เมื่อดูแลรถอย่างดี บิดสตาร์ทเมื่อไรตัวรถก็พร้อม หรือมองหาการทำประกันรถยนต์ที่เหมาะสม แต่ก็กลัวว่าจะเสียเบี้ยไปเปล่า ๆ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจการทำประกันชั้น 3 หรือประกันชั้น 3+ ซึ่งเป็นประกันภัยที่ราคาถูกที่สุดในความคุ้มครองที่จำกัด แต่ที่สำคัญคือเหมาะกับรถที่ไม่ค่อยได้ขับ แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเบี้ยราคาแพงไปเปล่า ๆ ตามไปหาคำตอบก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์กันเลยดีกว่า
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- รถไม่ค่อยได้ใช้ จำเป็นต้องทำประกันรถยนต์มั้ย?
- ไม่ค่อยได้ใช้รถ ประกันชั้น 3 vs 3+ แบบไหนตอบโจทย์กว่า?
- ประกันชั้น 3 และประกันชั้น 3+ เหมาะกับใคร
- จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ใช้งานรถยนต์เป็นเวลานาน?
- ดูแลรถไม่ค่อยได้ใช้ยังไง ให้ใช้งานได้ตามปกติ?
รถไม่ค่อยได้ใช้ จำเป็นต้องทำประกันรถยนต์มั้ย?
การขับขี่บนท้องถนน ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้แม้ใช้รถไม่ค่อยบ่อย อย่ามองแค่ว่า “จอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ค่อยได้ใช้ ถึงใช้ก็ขับไปไม่ไกล ไม่ต้องทำประกันรถยนต์ก็ได้” แต่มีประกันรถยนต์เอาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า แม้จะไม่ค่อยได้ขับสักเท่าไหร่ แต่ใครจะไปรู้ว่าวันที่อยากขับขึ้นมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุก็เป็นได้
ซึ่งในปัจจุบันบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ได้ออก “รูปแบบประกันรถยนต์” ให้เหมาะสมและตอบโจทย์กับการใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใช้งานรถค่อนข้างน้อย แต่อยากอุ่นใจด้วย “ความคุ้มครอง” จากประกันภัยรถยนต์ ก็สามารถเลือกซื้อประกันรถยนต์ได้ตามต้องการ
ไม่ค่อยได้ใช้รถ ประกันชั้น 3 vs 3+ แบบไหนตอบโจทย์กว่า?
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความชำนาญด้านการขับรถ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ขับสักเท่าไหร่ อยากซื้อประกันรถยนต์ก็ตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเลือกประกันชั้น 3 หรือประกันชั้น 3+ ดี ถ้าอย่างนั้นเราจะพาไปเปรียบเทียบประกันรถยนต์ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้
ประกันชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้าง?
หากคุณกำลังมองหาหรือสนใจทำประกันรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด ประกันรถยนต์ชั้น 3 เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์มาก ๆ แต่ด้วยความที่ประกันชั้น 3 ธรรมดา มีราคาที่ย่อมเยา “ความคุ้มครอง” ก็น้อยลงตามไปด้วย โดยจะให้ความคุ้มครองหลัก ดังนี้
- คุ้มครองการชนที่มีคู่กรณีเท่านั้น
- คุ้มครองชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอกหรือคู่กรณี
- คุ้มครองทรัพย์สินของผู้ที่ได้รับความเสียหาย เช่น คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์คู่กรณี
- กรณีรถชน เราฝ่ายผิด จะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก ตามที่เลือกไว้ก่อนทำประกัน
- ไม่คุ้มครองรถหาย ไฟไหม้ หรือภัยทางธรรมชาติต่าง ๆ
ประกันชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้าง?
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ราคาถูกแต่ให้ความคุ้มครองได้อย่างตอบโจทย์ สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์บ่อย ๆ โดยให้ความคุ้มครองดังนี้
- คุ้มครองทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกาย ของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรถยนต์ของเราตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่ต้องเป็นอุบัติเหตุแบบ “รถชนรถ” และมีคู่กรณีเท่านั้น
- กรณีรถชน เราฝ่ายผิด จะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก ตามที่เลือกไว้ก่อนทำประกัน
- ไม่คุ้มครองรถหาย ไฟไหม้ หรือภัยทางธรรมชาติต่าง ๆ
เปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 3 และประกันชั้น 3+
จริง ๆ แล้วประกันทั้ง 2 แบบ มี “จุดแตกต่าง” กันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็คือ ประกันชั้น 3+ จะคุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกัน แต่ประกันชั้น 3 ธรรมดา จะช่วยคุ้มครองเฉพาะส่วนของคู่กรณีและบุคคลภายนอกเท่านั้น
รายละเอียดความคุ้มครอง | ประกันชั้น 3+ | ประกันชั้น 3 |
---|---|---|
คุ้มครองคู่กรณีและบุคคลภายนอก | ||
การบาดเจ็บและเสียชีวิตของบุคคลภายนอก | ||
ทรัพย์สินของคู่กรณี | ||
คุ้มครองรถ | ||
ความเสียหายของรถ (เมื่อชนแบบมีคู่กรณี) | ||
รถหาย | ||
ไฟไหม้ | ||
น้ำท่วม | ||
ภัยธรรมชาติ | ||
คุ้มครองตัวเรา | ||
ค่ารักษาพยาบาล | ||
ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล | ||
การประกันตัวผู้ขับขี่ |
ในส่วนค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ที่อาจสงสัยว่าประกันรถยนต์ชั้น 3 ราคาเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้นอื่น โดยเฉพาะประกันชั้น 3+ ราคาแพงกว่าประกันชั้น 3 มากมั้ย? ต้องบอกว่าประกันทั้ง 2 แบบ เป็นประกันที่ราคาถูกที่สุด ราคาไม่ต่างกันมากนัก จะถูกกว่ากันมากน้อยขึ้นอยู่กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงเงื่อนไขความคุ้มครองที่ต้องมองในเรื่องรายละเอียด แนะนำให้เช็คราคาประกันรถยนต์จากหลาย ๆ ที่ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองในราคาที่ดีที่สุด
ประกันชั้น 3 และประกันชั้น 3+ เหมาะกับใคร
ประกันรถยนต์ชั้น 3 และ 3+ เป็นทางเลือกที่เหมาะกับผู้ขับขี่ที่มีลักษณะดังนี้
- รถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ขับ
- รถยนต์เก่า
- รถยนต์ที่ไม่ได้ติดตั้งระบบแก๊ส
- มีประสบการณ์การขับขี่ที่ดี และมั่นใจในการควบคุมรถ โดยเฉพาะประกันชั้น 3 ที่ไม่ได้ให้ความคุ้มครองค่าซ่อมรถของเรา
- ต้องการความคุ้มครองพื้นฐานในราคาที่เข้าถึงได้
ถึงแม้ว่าประกันชั้น 3 และประกันชั้น 3+ จะมีความคุ้มครองที่จำกัดเมื่อเทียบกับประกันชั้นอื่น ๆ แต่ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด เพราะเบี้ยประกันรถยนต์จะราคาถูกกว่าชั้นอื่น ๆ ส่วนคำถามที่ว่าประกันรถยนต์ชั้น 3 หรือ 3+ ที่ไหนดี? อันนี้ก็สามารถเปรียบเทียบความคุ้มครองและราคาประกันรถยนต์ เลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ และอย่าลืมดูรีวิวประกันรถยนต์ด้วยนะ
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ใช้งานรถยนต์เป็นเวลานาน?
หลายคนมองว่าการจอดรถอยู่ที่บ้านเฉย ๆ ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไร แถมยังทำให้รถยนต์ปลอดภัยจากอุบัติเหตุด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจนำผลเสียมาให้แบบไม่รู้จบ ซึ่งผลเสียที่ว่านั้น มีดังนี้
- รถสตาร์ทไม่ติด – เกิดจากแบตเตอรี่หรือมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม สามารถแก้ไขได้ด้วยการพ่วงแบตกับรถคันอื่น
- น้ำมันเสื่อมสภาพ – หากจอดรถทิ้งไว้นานก็ทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพ แถมยังทำให้เกิดเชื้อรา และแบคทีเรียด้วย เมื่อกลับมาใช้งานจะทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รวมถึงเครื่องยนต์เกิดปัญหาอื่นตามมาได้
- ยางรถยนต์ – หากจอดทิ้งไว้ที่เดิมนาน ๆ จะทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพ เนื่องจากยางรับน้ำหนักอยู่เพียงด้านเดียว ยิ่งหากพื้นมีความร้อนสูง ก็ยิ่งทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิม
- สภาพรถเสื่อมโทรม – ไม่ว่าจะลม แดด หรือฝน ก็ทำให้สีรถยนต์ผุพังได้ง่าย ยิ่งถ้าหากรถยนต์ของคุณมีร่องรอยการถลอกอยู่แล้ว บอกเลยว่าสนิมถามหาแน่นอน
- สัตว์ต่าง ๆ เข้าไปทำรัง – รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ ถือเป็นบ้านหลังใหญ่ของสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ “หนู” และแน่นอนว่าพวกมันโดดเด่นในเรื่องกัดสายไฟเป็นที่สุด
ดูแลรถไม่ค่อยได้ใช้ยังไง ให้ใช้งานได้ตามปกติ?
หลังจากพอจะรู้คร่าว ๆ กับผลเสียของการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ และประกันที่เหมาะสมแล้ว ต่อไปเราไปดู “วิธีดูแล” รถไม่ค่อยได้ใช้เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้รถเสียหายแม้จอดทิ้งไว้นาน ๆ เวลาจะใช้เมื่อไรก็พร้อมเสมอ ดูแลรถจอดนาน ๆ ไม่ยากดังต่อไปนี้
1. ทำความสะอาดรถเป็นประจำ
หากไม่อยากให้รถยนต์คู่ใจมีคราบฝุ่น สิ่งสกปรก รวมถึงความร้อน ความชื้น ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายที่คอยทำลายสีรถยนต์ตลอดเวลา แนะนำให้ทำความสะอาดรถอยู่เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ
2. สตาร์ทรถอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า แม้จะจอดรถไว้ในสถานที่ที่ดีแค่ไหน แต่หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานก็อาจเกิดการเสื่อมสภาพได้ แนะนำให้หาเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์ ‘อย่างน้อย’ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ให้ทำงานได้ตามปกติ
3. เช็คของเหลวต่าง ๆ
ของเหลวภายในรถยนต์ ได้แก่ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันเกียร์ และอื่น ๆ ที่สามารถเสื่อมสภาพได้ไม่ต่างจากอะไหล่หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ เนื่องจากรถที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ จะมีความชื้นและฝุ่นละอองจากภายนอกเข้าไป “ปนเปื้อน” แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามระยะที่กำหนด รวมถึงควรนำรถออกไปขับบ้าง เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นและของเหลวมีการไหลเวียน
4. หมั่นตรวจสอบสภาพยางรถยนต์อยู่เสมอ
สำหรับรถที่จอดทิ้งไว้ที่เดิมเป็นเวลานาน แนะนำให้เติมลมยางให้มากกว่าประมาณ 5-10 ปอนด์/ตารางนิ้ว รวมถึงขยับรถเพื่อเปลี่ยนจุดสัมผัสของหน้ายาง เพื่อป้องกันแก้มยางถูกบีบให้มีการหดตัว รวมถึงป้องกันการปริแตกในตำแหน่งที่ถูกกดทับซ้ำ ๆ จนอาจทำให้ยางเสียรูปได้
5. ตรวจเช็คระบบสายไฟ
รถไม่ค่อยได้ขับอาจจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์นานาชนิด ๆ ไม่ว่าจะเป็นงู แมว หรือหนู ที่มักจะเข้ามากัดแทะสายไฟจนพัง จึงเป็นอีกจุดที่จะต้องตรวจเช็คเป็นประจำ ซึ่งแก้ได้ง่าย ๆ ก็คือการหมั่นสตาร์ทรถให้มีเสียงเครื่องยนต์บ้าง หรือนำออกไปขับบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีสัตว์ตัวเล็ก ๆ มาวุ่นวายภายในห้องเครื่องอีกเลย
6. ตรวจเช็คแบตเตอรี่
การหมั่นตรวจเช็คแบตเตอรี่รถไม่ค่อยได้ขับ เป็นอีกจุดที่เกี่ยวเนื่องกันกับอาการสตาร์ทไม่ติด ซึ่งโดยปกติแล้ว แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานราว 1.5 – 2 ปี หรืออาจจะแล้วแต่ชนิดของแบตเตอรี่ แต่การจอดทิ้งไว้นานโดยไม่สตาร์ทรถเลย จะยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วมากกว่าเดิม จากการคายประจุไฟฟ้าออกมาตลอดเวลาในช่วงที่ไม่ได้ขับ จึงควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหากไม่ได้ใช้งานจริง ๆ
ขอย้ำอีกครั้งว่าการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป แถมยังนำพา “ปัญหา” ต่าง ๆ มาให้คุณแบบไม่รู้จบ แนะนำให้เคลื่อนย้ายรถหรือตรวจเช็คสภาพรถบ้าง นอกจากนี้อย่าลืมซื้อประกันรถยนต์เอาไว้ด้วย แม้ไม่ค่อยได้ใช้ก็ควรมีเผื่อความเสี่ยงของอุบัติเหตุ จะเป็นประกันชั้น 3 หรือประกันชั้น 3+ ก็คุ้มค่า โดยสามารถเช็คราคาประกันรถยนต์แล้วตัดสินใจตามงบประมาณและความคุ้มครองได้เลย
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประกันภัยออนไลน์ต่าง ๆ จากรู้ใจได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือคลิกที่นี่เพื่อเพิ่มเราเป็นเพื่อนใน LINE ได้เลย (Official Line ID: @roojai)
คำจำกัดความ
ปนเปื้อน | สารใด ๆ ก็ตาม ที่เข้าไปผสมทำให้ไม่บริสุทธิ์หรือใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ |
น้ำมันหล่อลื่น | มีหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ และมีลักษณะเป็น แผ่นฟิล์มช่วยไม่ให้เกิดการเสียดสีโดยตรง |