สมัยนี้บน Facebook หรือ IG ก็มีคลิปข่าวเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทบนท้องถนนให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นมีหลายลักษณะ บ้างก็ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน มีปากมีเสียงกันบ้าง หนักหน่อยก็ถึงขั้นลงมาท้าตีท้าต่อยกัน บ้างก็ฝ่ายหนึ่งพยามหลีกเลี่ยงไม่อยากที่จะมีปัญหาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมง่ายๆ จะตามเอาเรื่องให้ได้ประหนึ่งว่าแค้นกันมานาน เช่น
https://www.youtube.com/watch?v=P84sV49kEHE
ในกรณีหลังที่ฝ่ายหนึ่งสมมุติว่าเป็นตัวเราเอง หากเจอคู่กรณีแบบที่ไม่ยอมง่ายๆ เรายอมแล้ว หยุดแล้วไม่อยากมีเรื่อง แต่คู่กรณีก็ยังพยายามที่จะขับเบียดขับตัดหน้า ต่อว่าด่าทอ ถ้าแค่นั้นก็พอทำใจได้ ระบายอารมณ์จนพอใจเดี๋ยวก็เลิกราไปเอง แต่ถ้าเจอถึงขั้นที่ว่าคู่กรณีจอดรถตัดหน้าขวางเราเอาไว้ แล้วลงมาพร้อมอาวุธทุบรถให้เกิดความเสียหาย แบบนี้จะทำยังไง?
การเอาตัวรอดจากสถานการณ์
ในคำถามทิ้งท้ายว่าจะทำยังไงคงต้องแบ่งเป็น 2 กรณี คือ จะทำยังไงในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้าและจะเรียกร้องค่าเสียหายได้อย่างไร
พูดถึงการเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตั้งสติและสำรวจประตูรถว่าล็อกประตูทุกบานเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นเตรียมโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์ ถ้าบันทึกเป็นวิดีโอได้ก็จะดี หากสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อาจใช้วิธีไลฟ์สดผ่าน Facebook Live
การไลฟ์ผ่าน Facebook นอกจากจะมีไฟล์วิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานในภายหลังเหมือนกับการบันทึกวิดีโอแล้ว ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ยังมีผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนรู้จัก รวมถึงคนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนใน Facebook สามารถรับทราบถึงเหตุการณ์ที่เราเจอในทันที มีโอกาสที่คนเหล่านั้นจะหาทางช่วยเหลือได้
หากในรถของเราที่ประสบเหตุเดินทางไปมากกว่า 1 คน การที่จะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์คงไม่อยากนัก คนหนึ่งอาจจะบันทึกเหตุการณ์ไว้ ในขณะที่อีกคนติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือโทรหาศูนย์รับแจ้งอุบัติเหตุของบริษัทประกันภัย โดยลูกค้าของ Roojai หากประสบเหตุดังกล่าวสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือไปยังศูนย์รับแจ้งอุบัติเหตุได้ที่เบอร์ 02-582-8844 แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบตำแหน่งของลูกค้าได้จากแอปพลิเคชัน Roojai Mobile App
สำหรับคนที่เดินทางไปคนเดียวคงต้องดูจังหวะและวางแผนให้ดีว่าจะต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง อาจจะบันทึกภาพรถและคู่กรณีไว้ก่อนสักส่วนหนึ่ง แล้วจึงโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือ 191 เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือติดต่อบริษัทประกันภัย หากคู่กรณียังไม่ยอมเลิกราก็ให้บันทึกภาพหรือวิดีโอเพิ่มเติมไว้ แต่หากมีกล้องบันทึกภาพติดรถไว้สักหน่อย ก็จะช่วยให้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการบันทึกภาพ มีเวลาให้ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ อีกทั้งการติดกล้อง Car Cam ยังได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยอีกด้วย
การเรียกร้องค่าเสียหาย
จากคลิปเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเห็นว่าหลังจากที่คู่กรณีทุบทำลายรถเราจนพอใจแล้วก็จะขับรถหนีไป หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ละแวกนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่เลย และตัวเราเองไม่มีภาพหรือวิดีโอบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ความเสียหายกับตัวรถที่เกิดขึ้นในทางประกันภัยถือว่าเป็นความเสียหายที่ไม่มีคู่กรณี ดังนั้นอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือหากได้รับความคุ้มครองในกรณีของประกันภัยประเภท 1 ก็อาจจะต้องเสียค่าหายส่วนแรกด้วย ถ้าต้องการเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีจริงๆ คงต้องดำเนินการแจ้งความ โดยระบุข้อมูลรถยนต์และรูปพรรณของคู่กรณีให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตามหา
แต่ในปัจจุบันคงไม่ใช่ปัญหาในการที่จะบันทึกภาพหรือวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือในตอนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาร์ทโฟนแล้วทั้งสิ้น และหากเป็นพื้นที่ชุมชนส่วนใหญ่ก็จะมีกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ พอที่จะสืบเสาะหาหลักฐานเพิ่มเติมได้จึงน่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องของความคุ้มครองเรื่องความเสียหายของตัวรถ ส่วนเรื่องคดีความทางอาญาก็ต้องว่ากันเป็นกรณีๆ ไป