ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์การเลือกซื้อรถในยุคนี้ตัวแปรหลักๆ ที่มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งนอกจากรูปร่างหน้าตาที่โดนใจแล้ว ก็ต้องเป็นรถที่ขับใช้งานได้อย่าง ‘คุ้มค่า’ มีความอเนกประสงค์ รองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายทั้งขับใช้งานขับเที่ยว อีกทั้งสมรรถนะต้องขับขี่ได้ดีและมีความประหยัด ที่สำคัญถ้าระบบความปลอดภัยเพียบพร้อมด้วยก็ยิ่งเป็นผลดี ครั้งนี้เราเลยหยิบยกรถ 2 รุ่นจาก 2 ค่าย ที่มองดูแล้วค่อนข้างน่าสนใจเข้าเกณฑ์เกือบทั้งหมด อีกทั้งราคาก็สามารถเป็นเจ้าของได้ไม่เกินเอื้อม คือ Nissan NOTE และ Toyota Yaris Hatchback ซึ่งสเปกจะแตกต่างกันอย่างไร หรือรุ่นไหนตรงใจเหมาะกับไลฟ์สไตล์เราที่สุดไปดูกันครับ
เริ่มต้นที่ Nissan NOTE อีโคคาร์คอมแพ็คแฮตช์แบค 5 ประตู ถูกส่งเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเมื่อช่วงเดือนมกราคม ภายใต้แนวคิดนวัตกรรมการเคลื่อนที่อัจฉริยะ หรือ Nissan Intelligent Mobility ทำตลาด 2 รุ่นย่อย 1.2V CVT 568,000 บาท และ 1.2 VL CVT 640,000 บาท
นิสสัน โน๊ต มาพร้อมความสดใหม่และรายละเอียดอันสะดุดตาหลายจุด เริ่มตั้งแต่แผงกระจังหน้าดีไซน์ V-Motion ซึ่งสะท้อนความโฉบเฉี่ยวทันสมัย ผสานด้วยช่องกันชนด้านล่างแบบโครเมียมอย่างลงตัว โคมไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ ปรับสูง-ต่ำได้ พร้อม LED Signature Light (รุ่น VL) และไฟตัดหมอกคู่หน้า มือจับประตู-กระจกข้างสีเดียวกับตัวรถ สามารถพับและปรับด้วยไฟฟ้า และติดตั้งไฟเลี้ยวบนฝาครอบกระจกมองข้าง ส่วนด้านหลังไฟท้าย LED แบบ Signature รูปทรงบูมเมอแรง ลงตัวกับไฟเบรก LED เหนือขึ้นไปมีการติดตั้งสปอยเลอร์เพื่อเพิ่มความสปอร์ต สำหรับรายละเอียดของห้องโดยสาร แม้เป็นรถสไตล์อีโคคาร์อเนกประสงค์ แต่ดีไซน์หลายๆ จุดก็จงใจสอดแทรกความสปอร์ตอย่างเด่นชัด ตั้งแต่การคุมโทนด้วยสีดำเกือบทั้งหมด ส่วนพวงมาลัยใหม่ดีไซน์ D-Shape (มุมด้านล่างตัดตรง) มาพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น (รุ่น VL) ควบคุมระบบการทำงานเครื่องเสียงและเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ และสามารถปรับตำแหน่งสูง-ต่ำ ให้เหมาะกับความถนัดและสรีระของผู้ขับได้ นอกจากนี้ก็เติมเต็มความหรูหราด้วยวัสดุตกแต่งสีเงิน บริเวณหัวเกียร์ ฐานเกียร์ ส่วนคอนโซลกลางสีเปียโนแบล็คมันวาว มาตรวัดเป็นแบบเรืองแสงมัลติ อินโฟเมชัน ดิสเพลย์ (MID) แสดงข้อมูลการขับ (รุ่น VL) เย็นสบายระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงที่เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชันผ่านสาย HDMI ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายแบบ Bluetooth (รุ่น VL)
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ต้องเขียนถึง คือห้องโดยสารที่ได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ โดยเฉพาะเบาะแถวหลัง มีพื้นที่ช่วงขาช่วงเข่ามากขึ้น ทำให้รู้สึกว่านั่งได้สบายไม่อึดอัด และช่วยลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องเดินทางในระยะไกล นอกจากนี้ได้เพิ่มความสะดวกสำหรับเข้า-ออก รวมถึงขนของชิ้นใหญ่ขึ้นลงก็ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยประตูที่เปิดได้กว้างได้ 3 ระดับ 85 องศา นอกจากนี้ยังบรรทุกสัมภาระได้จำนวนมาก กับเบาะที่พับปรับเปลี่ยนได้แบบ 40:60 หรือพับราบได้ 100%
มิติตัวภายนอก กว้างxยาวxสูง 1,695×4,105×1,535 มม.
ความยาวช่วงล้อ 2,600 มม.
ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง 1,480/1,485 มม.
ระยะต่ำสุดจากพื้น 155 มม.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 ม.
หลากเทคโนโลยีช่วยขับโดยภายใต้การทำงานและการสนับสนุนของศูนย์วิจัยพัฒนาที่ตั้งอยู่ในไทย นิสสันจึงได้ศึกษาความต้องการ สภาพแวดล้อมและการขับ รวมทั้งพัฒนาเพื่อปรับเทคโนโลยีต่างๆ ให้ตอบสนองการใช้งานในไทยอย่างลงตัว โดยเพิ่มหลายเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การขับรถง่ายขึ้นทั้ง Intelligent Around View Monitor (AVM) กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง และมองเห็นได้ทุกจุดรอบคัน ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหว หรือ Moving Object Detection (MOD) ด้วยการออกแบบให้ภาพจากกล้องแสดงผลที่กระจกมองหลัง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น เพราะผู้ขับขี่สามารถเห็นภาพจากกล้อง และภาพที่สะท้อนบนกระจกมองหลังได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องเลื่อนสายตาขึ้นลง
ขุมพลังของ Note เป็นบล็อก HR12DE 1,198 ซีซี 3 สูบ XTRONIC CVT D-Step Logic ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที พร้อมด้วยแรงบิด 10.8 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ผสานกับเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผัน CVT ก็ช่วยการให้เคลื่อนตัวเป็นไปอย่างนุ่มนวลต่อเนื่อง พร้อมระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ Idling Stop ช่วยเพิ่มความประหยัดเชื่อเพลิงมากยิ่งขึ้น (สามารถเปิด/ปิด ระบบได้)
ระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท หลังทอร์ชันบีม ประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ โดยทั้ง 2 รุ่นย่อยมาพร้อมล้อแม็กขนาด 15 นิ้ว
อุ่นใจมากด้วยหลายระบบความปลอดภัยสมัย ทั้งถุงลม SRS คู่หน้า ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC) ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA) กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Intelligent Key พร้อมระบบ Immobilize ขณะเดียวกัน (รุ่น VL) ยังได้เพิ่มระบบ Intelligent Forward Collision Warning (FCW) หรือระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า ที่เตือนด้วยเสียงพร้อมแสดงสัญลักษณ์บนหน้าปัด มีประโยชน์มากสำหรับการขับในเมืองซึ่งหนาแน่นทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์หรือคนเดินเท้า พร้อมด้วยระบบ Intelligent Emergency Braking ที่ทำงานร่วมกับระบบช่วยเตือนก่อนการชน โดยระบบจะวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วด้วยกล้องด้านหน้า แล้วช่วยชะลอความเร็วและหยุดรถอัตโนมัติ ร่วมด้วยเทคโนโลยีระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning-LDW) เตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรถระดับเดียวกัน โดยระบบนี้ทำหน้าที่จับอาการของรถ หากพบว่าล้อเหยียบเส้นโดยไม่ตั้งใจคือ ผู้ขับไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบก็จะเตือนให้ผู้ขับได้รู้ตัวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ระบบนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะเมื่อต้องขับทางไกลซึ่งมีโอกาสหลับในได้หากร่างกายไม่พร้อม ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วมากกว่า 70 กม./ชม. ขึ้นไป กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around-View Monitor (AVM) ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
ล่าสุดยังเพิ่มทางเลือกด้วยสีใหม่สำหรับชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ Personalization Package คือ ขาว, ชมพู และเหลือง นอกเหนือจากสีเดิม คือ สีส้ม สีแดง สีดำ และสีม่วง โดยลูกค้าสามารถเลือกแพ็คเกจตกแต่งภายนอก (Exterior Personalization Package) ด้วยราคาเริ่มต้น 6,800 บาท และแพ็คเกจตกแต่งภายใน (Interior Personalization Package) ราคาเริ่มต้น 5,250 บาท นอกจากนี้สำหรับชุดแต่งรอบคันแบบ แอโร คิท ยังเพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยแถบสีแดงบริเวณแผงสเกิร์ตด้านข้าง
Toyota Yaris Hatchback เปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำตลาด 4 รุ่นย่อย J Eco 479,000 บาท, J 529,000 บาท, E 559,000 บาท และ G 609,000 บาท โดยรูปลักษณ์ตลอดคันเน้นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว สะท้อนอารมณ์สปอร์ตด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมไฟ LED Light Guiding ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light แบบ LED (เฉพาะรุ่น G) และไฟตัดหมอกหน้า ส่วนไฟท้ายแบบ LED Light Guiding สะท้อนถึงความหรูหราทันสมัยอย่างลงตัว เสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม ดูหรูเลยครับ หลังคาแบบ Catamaran ลดการปะทะของแรงลม
ภายในห้องโดยสารดีไซน์ล้ำสมัย เน้นความกว้างขวางสะดวกสบาย พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน พวงมาลัยหุ้มหนัง (เฉพาะรุ่น G) พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง (ในรุ่น G และ E) มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่อัจฉริยะ MID (ในรุ่น G และ E) เครื่องเล่นวิทยุ CD/ MP3/ WMA พร้อมช่องต่อ USB/ AUX และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth (ในรุ่น G และ E)ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมจอ LCD (ในรุ่น G และ E)
พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังแบบเรียบเพื่อการเข้า-ออกสะดวก ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ (Push Start) (เฉพาะรุ่น G) ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry ควบคุมการล็อก-ปลดล็อกประตูและที่เก็บสัมภาระท้ายรถ (เฉพาะรุ่น G)แผงบังแดดคู่หน้า (ในทุกรุ่น) พร้อมกระจกแต่งหน้า (ในรุ่น G และ E)เบาะนั่งเป็นผ้า สำหรับคนชอบแบบหนังต้องไปติดตั้งใหม่เอง สำหรับเบาะนั่งเป็นแบบผ้าสีดำในทุกรุ่นย่อย ขณะที่ด้านหลังให้ความอเนกประสงค์ด้วยเบาะที่แยกพับได้ 60:40 ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ พร้อมที่ปิดสัมภาระด้านท้าย(เฉพาะรุ่น G และ E) รวมทั้งระบบ Smart Entry และ Push Start (เฉพาะรุ่น G)
ขุมพลังของ Yaris เป็นบล็อก 3NR-FE 1,197 ซีซี 4 สูบ Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อมระบบ Shift Lock ทุกรุ่นย่อย รองรับน้ำมันทางเลือก E20 ให้อัตราสิ้นเปลือง 20 กม./ลิตร พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering)
มิติภายนอก ยาวxกว้างxสูง 4,145 x1,730×1,500 (เฉพาะรุ่น G) 4,145×1,730×1,475 มม.
ความยาวช่วงล้อ 2,550 มม.
ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง 1,470/1,460 (เฉพาะรุ่น G, E และ J)1,480/1,470 มม.(J Eco)
ระยะต่ำสุดจากพื้น 135 มม.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.1 ม.
ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร
ระบบกันสะเทือน หน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังทอร์ชั่นบีม และคอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกหน้าดิสก์ ด้านหลังดรัม ล้อแม็ก 15 นิ้ว (เฉพาะรุ่น G และ E) ล้อกระทะ 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ รุ่น J ล้อกระทะ 14 นิ้ว (J Eco)
ระบบความปลอดภัย Toyota Yaris Hatchback จัดเต็มมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC ระบบเบรก ABS/EBD และ BA ระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน HAC เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าพร้อมกลไกดึงกลับอัตโนมัติ ระบบสัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง (รุ่น G) ระบบไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ (Follow-me-home) (รุ่น G) ระบบกุญแจ Immobilizer (รุ่น G และ E)
สรุปโดยรวมทั้ง Nissan NOTE และ Toyota Yaris Hatchback ต่างก็เป็นคอมแพ็คอีโคคาร์ที่ค่อนข้างครบเครื่องในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะความอเนกประสงค์ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานรถยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์อันหลากหลายอย่างลงตัว พร้อมสมรรถนะพอเพียงกับการขับในชีวิตประจำวัน และยังคุ้มค่าด้วยหลายเทคโนโลยีความปลอดภัย ส่วนคุณจะเลือกรุ่นไหนก็ต้องเทียบกับความแตกต่างในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยว่าถูกใจแบบไหนมากที่สุดครับ
เมื่อได้รถดังใจชอบแล้วก็อย่าลืมให้ ”รู้ใจ” เคียงข้างคุณ ด้วยประกันแสนดี การันตีถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาที ประกันชั้น 1 ผ่อนสบายๆ 0% ยาว 10 เดือน คลิกเช็คเบี้ยเลย!